Economies

ทิสโก้ ชี้หุ้นสหรัฐเสี่ยงปรับฐานใน 1-2 เดือน  แนะถือเงินสดรอซื้อพันธบัตรระยะยาวสหรัฐฯ 
11 เม.ย 2567

ทิสโก้คาด ตลาดหุ้น S&P500 เสี่ยงปรับฐานใน 1-2 เดือน  แนะถือเงินสดรอซื้อพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ 

 

 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจปรับตัวลงในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า จากมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างแพง และได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจปรับตัวแตะ 4.3-4.5% ในไตรมาส 2/2567 แนะทยอยลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ถือเงินสดรอเข้าลงทุนในพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ  

 

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ยังคงแนะนำให้นักลงทุน "ทยอยลดน้ำหนัก" การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) เพราะในช่วง 1-2 เดือนหลังจากนี้ ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวลดลงจากมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างสูง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ (Bond yield) ปรับตัวสูงขึ้นกดดันราคาหุ้น พร้อมทั้งแนะนำให้นักลงทุนถือเงินสดรอเข้าลงทุนในพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ   

 

“ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่า ในไตรมาส 2/2567 นี้ Bond yield พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะกลับมาเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3-4.5% ตามปริมาณพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นหลังกระทรวงการคลังสหรัฐฯ มีแผนที่จะออกพันธบัตรระยะยาวมาขายในตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 นี้ ประกอบกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะกลับมาเพิ่มขึ้นในระยะสั้นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ซึ่งพลิกกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือน ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาสูงกว่าคาด และส่งสัญญาณเร่งตัวขึ้น รวมถึงตัวเลขการจ้างงานที่ยังแข็งแกร่ง ซึ่งชี้ว่าเงินเฟ้อโดยเฉพาะในภาคบริการของสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นต่อจากนี้ ” นายคมศรกล่าว  

 

ทั้งนี้ จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวอาจเป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในปีนี้โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ประเมินว่า Fed มีแนวโน้มที่จะชะลอการลดดอกเบี้ยออกไปเป็นในช่วงไตรมาส 3 และอาจลดดอกเบี้ยเพียงสองครั้งในปี 2567 นอกจากนั้น Fed อาจปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้ Bond yield ในตลาดยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อไปในระยะสั้น

 

นายคมศรกล่าวว่า จาก Bond yield ที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ค่อนข้างแพงมากในปัจจุบัน  โดยอัตราส่วนราคาหุ้นต่อคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (Forward P/E) ของ S&P500 ที่เหมาะสม โดยใช้ Regression Model ซึ่งประกอบด้วย 3 ตัวแปร ได้แก่ ระดับ Bond yield, ขนาดงบดุลของ Fed และคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน  (Forward EPS) ซึ่งแบบจำลองของศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ชี้ว่าค่า P/E เหมาะสมอยู่ที่ราว 18 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่า P/E ของ S&P500 ในปัจจุบันที่ 21 เท่า และค่า P/E ที่ไม่รวมหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ที่ 19 เท่า ซึ่งชี้ว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา มาจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นไม่กี่ตัว ทำให้ตลาดหุ้นค่อนข้างเปราะบางต่อปัจจัยที่จะกระทบในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะปรับฐานลงในช่วง 1-2 เดือนนี้ 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com