EIC คาดเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง หลังไตรมาส 2 ขยายตัวต่อเนื่อง จากภาคท่องเที่ยวและบริการเป็นปัจจัยหลัก คาดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าไทยแตะ 10 ล้านคน แต่ระวังความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญเศรษฐกิจถดถอย
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/65 ขยายตัวต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันที่ 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่เศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ เศรษฐกิจไทยในไตรมาส2 ยังสามารถขยายตัว 0.7% จากไตรมาสก่อนหน้า หลังปรับปัจจัยฤดูกาล (QOQ sa)
โดยเศรษฐกิจได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาเป็นปกติมากขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคและการเปิดรับนักท่องเที่ยว ขณะที่หากพิจารณาในฝั่งการผลิต (Production approach) พบว่ามีการฟื้นตัวได้ดีในหลายภาคเศรษฐกิจ นำโดยภาคบริการ ซึ่งสอดคล้องกับภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและภาคเกษตรที่ขยายตัวเร่งขึ้นตามปริมาณผลผลิต
อย่างไรก็ดี ภาคการก่อสร้างยังคงหดตัวจากการลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัว ประกอบกับการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมจากที่เคยขยายตัวได้ดีในไตรมาสที่ผ่านมา สะท้อนถึงปัญหาแนวโน้มปริมาณการส่งออกที่ส่งสัญญาณชะลอตัวในบางตลาดสำคัญ เช่น จีน และสหรัฐฯ รวมถึงความกังวลต่อต้นทุนที่ยังผันผวน
สำหรับในช่วงที่เหลือของปี EIC คาดเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องแม้จะได้รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อในประเทศที่เร่งตัว จากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาดตามการทยอยลดมาตรการเดินทางระหว่างประเทศในหลายประเทศ รวมถึงไทย
โดย EIC คาดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปี 2022 อาจเพิ่มขึ้นแตะ 10 ล้านคน (จากเดิม 7.4 ล้านคน) จากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นจากอุปสงค์คงค้าง (Pent-up demand) สะท้อนจากสล็อตตารางการบินในช่วงฤดูหนาวปี 2022 (ต.ค. 2022-มี.ค. 2023) ของสนามบินนานาชาติหลักของไทยที่มีการจองล่วงหน้าสูง ส่งผลให้ภาคบริการและการบริโภคเอกชนในภาพรวม โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะยิ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องในปี 2023 จากนักท่องเที่ยวจีนที่มีแนวโน้มกลับมาเดินทางระหว่างประเทศ โดยคาดว่ารัฐบาลจีนจะเริ่มทยอยผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero COVID) ในช่วงปลายปี 2022 และปลดล็อกการเดินทางในปี 2023
ถึงแม้ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่ในระยะถัดไปความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศมีเพิ่มสูงขึ้น สร้างแรงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากความกังวลต่อความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากการดำเนินมาตรการการเงินตึงตัว เศรษฐกิจยุโรปที่เผชิญความเสี่ยงจากด้านอุปทานพลังงานจากรัสเซีย รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่ยังคงมีความเปราะบางในหลายภาคส่วน อีกทั้ง เงินเฟ้อและราคาพลังงานยังอยู่ในระดับสูงทั่วโลก
นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะท่าทีที่แข็งกร้าวระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในกรณีไต้หวัน ซึ่งจะเร่งให้การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ (Decoupling) ระหว่างทั้งสองประเทศให้เกิดเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันให้การส่งออกสินค้าที่เป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะในด้านปริมาณ สะท้อนจากข้อมูลส่งออกสุทธิที่เคยเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสก่อนกลายมาเป็นปัจจัยฉุดต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในไตรมาสล่าสุด ส่งผลทำให้การลงทุนภาคเอกชนในระยะถัดไปมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลงเช่นเดียวกัน
ด้านความช่วยเหลือจากทางภาครัฐในการพยุงเศรษฐกิจยังคงมีความจำเป็นอยู่แต่แรงส่งจะมีน้อยลง เนื่องจาก EIC ประเมินว่าเหลือเม็ดเงินจาก พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่จะสามารถใช้ทำโครงการใหม่ได้เพียงราว 2.7 หมื่นล้านบาท และจะสิ้นอายุลงในเดือน ก.ย. 2022