ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด มองบวกต่อเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว หั่น GDP โต 3.3% ปีนี้ และคาด ธปท. คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ในเดือนก.ย. นี้ และปรับขึ้นในครั้งถัดไป 0.25% เป็น 2.50% สกัดเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะจ้าฃหน้าจากราคาน้ำมัน-อาหาร
ดร. ทิม ลีฬะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่าธนาคารคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 4.3 ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 หลังจากที่ครึ่งปีแรกเติบโต 3.3% ต่ำกว่าคาด ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังเติบโตมากกว่า เนื่องจากภาพรวมด้านการเมืองมีความชัดเจนขึ้น โดยรัฐบาลใหม่เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ประกอบกับนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอย่างน้อยถึงสิ้นปี 2568 โดยการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนกันยายนนี้ คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% และคงอัตราดอกเบี้ยไปตลอดถึงปี 2568 โดยเศรษฐกิจไทยอาจมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเป็นตัวแปร ดังนั้น หากเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นสูง และภัยแล้งที่จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรและอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่จะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤศจิกายนนี้ อีก 0.25% เป็น 2.50%ได้และคงอัตราดอกเบี้ยต่อไป ขณะที่ธนาคารกลางในค่างประเทศจะเริ่มทยอยปรับดอกเบี้ยลดลงในปีหน้า ส่วนไทยอาจ เริ่มปรับลดดอกเบี้ยในอีก 2 ปีหน้า
"เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว แม้ว่าในระยะที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ได้รัฐบาลใหม่แล้ว เราคาดว่าการบริโภคภายในประเทศจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตามมาด้วยการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยวที่เร่งตัวขึ้น” ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าว
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยกว่า 17.5 ล้านคนโดยเฉลี่ยมีการเดินทางเข้ามาเดือนละ 2.2 ล้านคน เนื่องจากกำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 3 ล้านคนตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนนี้ ทำให้ทั้งปีน่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยประมาณ 30 ล้านคน และคาดว่าปีหน้าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 40 ล้านคน ทั้งนี้ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวนนักท่องเที่ยวเคยอยู่ในระดับเกือบ 40 ล้านคนในปี 2562
เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่หลายประการ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดจึงปรับลดคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดจากร้อยละ 3.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ของจีดีพี การขาดดุลปีงบประมาณคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.0 ต่อจีดีพี ในปี2567 จากร้อยละ 3.8 ต่อจีดีพี ในปี 2566
“การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 น่าจะล่าช้า ในขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้จะมีทิศทางอย่างไร จะยังคงเป็นสิ่งที่ต้องมีการติดตามดูต่อไป” ดร.ทิมกล่าว
สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของประเทศ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 ลงจากร้อยละ4.2 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.3 และคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตที่ร้อยละ 4.2 ในปี 2567 จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 4.5 ด้วยเหตุนี้ จึงมีการปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานในปีนี้ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.3 จากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 1.7 โดยคาดว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ร้อยละ1.5 ในปี 2567 จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 1.3 ในขณะที่คงคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปในปี2566 ที่ร้อยละ 1.4 อย่างไรก็ตาม ธนาคารคาดว่า เงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า
“การค่อยๆ ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการคลังและเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงที่ผ่านมา น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ยังไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ดังนั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า” ดร.ทิมกล่าว
“ถึงกระนั้น อาจจะมีการกลับมาพูดถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้นอกจากนี้ นโยบายการคลังและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ชัดเจนกว่านี้น่าจะทำให้เห็นความชัดเจนในทิศทางดอกเบี้ยนโยบายยิ่งขึ้น”