เอชเอสบีซี จับชีพจรเศรษฐกิจเอเชียปี 2025 ท่ามกลางจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ของ ‘โลกในมือทรัมป์’ คาดจีนได้รับผลกระทบ 0.2-0.3%ของจีดีพี และไทย 0.1-0.2% ของจีดีพี พร้อมลุ้นเศรษฐกิจไทยโต 3.3% ในปีนี้ อานิสงส์ดิจิทัลวอลเล็ตและรัฐลงทุน ส่วนปีหน้าจีดีพีชะลอตัว ชี้ไทยมีโอกาสดึงดูด FDI เข้าลงทุนอุตสาหกรรมเด่นๆ
นายเฟรดเดอริค นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัย ประจำภูมิภาคเอเชีย ธนาคารเอชเอสบีซี วิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2025 ว่า ธนาคารเอชเอสบีซี คาดการณ์ว่าจีดีพีของประเทศไทยในปีนี้ เติบโตราว 3.3% โดยเป็นอัตราการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นจากปี 2024 ซึ่งอยู่ที่ 2.7% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งแม้จะยังคงฟื้นตัวที่ไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด แต่ก็อยู่ระดับใกล้เคียงมากแล้ว และเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะยังคงกลับมาไทยอย่างต่อเนื่อง ส่วนความกังวลด้านความปลอดภัยจากเหตุการณ์เร็ว ๆ นี้ อาจจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก นอกจากนี้ อานิสงส์จากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่รัฐบาลแจกคนละ 10,000 บาท ในกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ น่าจะส่งผลบวกต่อการบริโภคของไทยไปอีกราว 6 เดือน รวมถึงการลงทุนจากภาครัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่น่าจะเกิดจะขึ้นในปีนี้ หลังจากที่ชะลอการลฃทุนในปีที่แล้ว
“ด้านดอกเบี้ยไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งคาดจะคงอยู่ระดับปัจจุบัน 2.25% เราจึงยังมีมุมมองว่าจีดีพีของประเทศไทยจะยังเติบโตไปได้ อย่างไรก็ดี ในปีหน้า 2026 อัตราการเติบโตของจีดีพีอาจจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะลดลงมาที่ราว 2.7% เนื่องจากแรงหนุนของนโยบายกระตุ้นการบริโภคน่าจะแผ่วลง จากไม่มีดิจิทัลวอลเล็ต”
สำหรับผลกระทบจากนโยบายด้านต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกานั้น เขาประเมินว่า ผลกระทบจากนโยบายภายในประเทศของสหรัฐอเมริกา เช่น การลดภาษีธุรกิจ และการลดจำนวนแรงงานต่างด้าว ในสภาวะที่เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเร็ว ๆ นี้ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น ๆ รวมถึงค่าเงินบาทของไทย
ในส่วนของผลกระทบจากนโยบายด้านกำแพงภาษี เช่น การตั้งกำแพงภาษีที่ 10% สำหรับสินค้าจากประเทศจีน อาจไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศจีนมากนัก เนื่องจากมูลค่าการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ มีสัดส่วนที่ราว 2.5% ของจีดีพี ในขณะที่มูลค่าการส่งออกทั้งหมดอยู่ที่ 12.5% ของจีดีพี โดยคาดว่า หากนโยบายด้านกำแพงภาษีเกิดขึ้นจริง อาจมีผลให้จีดีพีของจีนลดลงราว 0.2 – 0.3% และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยราว 0.1 – 0.2% อย่างไรก็ดี ยังยากที่จะคาดเดาจากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน แต่มีความเป็นไปที่สหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีกับประเทศอื่น ๆ อีกภายในปีนี้
นอกจากนี้ หากสหรัฐฯ มีการตั้งกำแพงภาษีกับประเทศไทยโดยตรง อาจเผชิญความท้าทายที่สูงกว่าประเทศจีน เนื่องจากไทยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 5% ของจีดีพี ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการความเสี่ยงในภาคการส่งออกมากกว่า
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับจีน ก็น่าจะเป็นโอกาสของประเทศไทย นั่นคือ จะทำให้ประเทศในอาเซียน รวมถึงประเทศไทย มีโอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรง (FDI) จากประเทศจีน ด้วยเหตุผลดังนี้ ไทยมีข้อได้เปรียบในด้านค่าแรง หากพิจารณาจากปี 2009 ค่าแรงของไทยคิดเป็นอัตรา 110% เมื่อเทียบกับจีน ในขณะที่ในปี 2023 ปรับลดลงอยู่ที่ 70% โดยเห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนจากจีนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปี 2015 ซึ่งคิดเป็นน้อยกว่า 10% ของ FDI ของไทย แต่ในปี 2023 คิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% โดยมีอุตสาหกรรมเด่น ๆ คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงยังคงมีโอกาสในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น การบริการ บริการด้านการแพทย์ และการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของไทยอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดในการลงทุน FDI ไทยควรเน้นการพัฒนาขีดความสามารถในภาคอุตสาหกรรมที่เกื้อหนุนด้านการส่งออก เช่น ยานยนต์ โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า เคมี เกษตร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรพื้นฐาน แปรรูป และสินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โดยเฉพาะในบริบทที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง และส่งผลต่อการชะลอตัวของการบริโภค การเพิ่มความหลากหลายในด้านการส่งออกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของไทย
” หากไทยสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป ไทยมีโอกาสที่จะเข้าถึงตลาดได้อีกมากถึง 27 ประเทศ และยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจในการมาลงทุนในประเทศไทย ไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ในการผลักดันอุตสาหกรรมที่ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ จากการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานในภาคการผลิต นอกจากนั้น ประเทศในสหภาพยุโรปยังมีความต้องการสินค้าและบริการด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตรมูลค่าสูง สินค้าอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งถือเป็นโอกาสของประเทศไทยเช่นกัน นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทไทย น่าจะเป็นอานิสงส์ต่อภาคการส่งออกของประเทศไทยอีกด้วย"
ในส่วนของประเทศไทยที่กำลังจะจัดตั้ง ศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub ขึ้นมานั้น โดยเมื่อเร็วๆนี้ ครม. ได้ออก พรบ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เขามีความเห็นว่า สำหรับโอกาสความสำเร็จของประเทศไทยจากการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน อาจจะยังมีคำถามว่า Financial Hub จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน แต่การที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางด้านการเงินได้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเรื่องกฎเกณฑ์ที่เอื้ออำนวยเท่านั้น ไทยควรจะต้องคำนึงถึงทรัพยากรบุคคลที่เพียงพอ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย จึงมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูง ไทยจึงต้องมองหาวิธีการดึงดูดแรงงานจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน และปัจจัยอื่น ๆ ที่จะมาช่วยสนับสนุนต่อการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งมีตั้งแต่เรื่องของระบบการศึกษา ความยากง่ายของการมาทำงานที่ประเทศไทย เครือข่ายด้านการคมนาคมทั้งภายในและระหว่างประเทศ สิทธิประโยชน์ด้านวีซ่า ความสะดวกในการหาที่พักอาศัย อัตราภาษีสำหรับแรงงานชาวต่างชาติ และอื่น ๆ นอกจากนี้ สิ่งที่ไทยควรให้ความสำคัญ คือ การหาตลาดเฉพาะทางในการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เช่น ตลาดตราสารการเงิน การบริหารจัดการกองทุน การค้า และบริการคำแนะนำด้านกฎหมาย เป็นต้น