Interview

SUPREME หุ้นเทคฯ พื้นฐานดี พร้อมขาย IPO เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ SET
24 เม.ย 2567

SUPREME หุ้นเทคฯ พื้นฐานดี

พร้อมขาย IPO เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ SET

 

ทำความรู้จักหุ้นน้องใหม่ บมจ.สุพรีม ดิสทิบิวชั่น หรือ supreme หุ้นธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเป็นผู้ออกแบบ ติดตั้ง และจัดจำหน่ายระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบเครือข่ายอย่างครบวงจร (SI : System Integrator) พร้อมทั้งให้บริการซ่อมแซม บำรุงรักษา และการให้เช่าอุปกรณ์ ผ่านการสัมภาษณ์ “ภานุวัฒน์ ขันธโมลีกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กับความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

 

กว่า 30 ปี ที่ supreme ก่อตั้งมาเมื่อปี 2536 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท จากธุรกิจการนำเข้าคอมพิวเตอร์แบบสำเร็จรูปจากต่างประเทศมาจัดจำหน่ายขายส่งภายในประเทศ ตามด้วยการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศมาประกอบเองภายใต้แบรนด์ DTK จนกระทั่งปี 2545 ที่ได้มีโอกาสทำธุรกิจกับทางภาครัฐที่ขณะนั้นมีโยบายส่งเสริมสินค้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ประกอบในประเทศไทย ถือเป็นจุดเริ่มที่บริษัทได้ทำธุรกิจกับลูกค้าภาครัฐตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ในสมัยไทยรักไทย โครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน หรือโครงการ DLTV ซึ่งโครงการส่วนของ supreme จะมุ่งเน้นไปด้านการศึกษา

 

ต่อมา supreme ได้มีการพัฒนาองค์กรด้วยการขยายระบบโครงสร้างของ IT ที่ใหญ่ขึ้นในปี 2553 โดยจัดทำระบบ Data Center นำมาสู่ธุรกิจ SI หรือ Sytem Integrator ที่รวบรวมอุปกรณ์ทำเป็นโครงข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร

 

ปัจจุบัน supreme มีรายได้จากธุรกิจหลัก 3 ประเภท คือ

ธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ทีเกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบเครือข่าย (ธุรกิจจำหน่ายและติดตั้ง) โดยให้บริการจัดหาและติดตั้งระบบ SI มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 80-85%
ธุรกิจให้บริการดูแลบำรุงรักษาและซ่อมแซมระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ธุรกิจ MA) มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 5-10%
ธุรกิจให้เช่าระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ธุรกิจให้เช่า) มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 5-8%
 

คุณภานุวัฒน์ เล่าให้ “คลับหุ้น” ฟังว่า “supreme” จะทำธุรกิจตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยมีภาครัฐเป็นคู่สัญญาโดยตรงประมาณ 30% ส่วนที่เหลืออีก 70% จะเป็นภาคเอกชน แต่ก็เป็นภาคเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับภาครัฐเช่นเดียวกัน ทำให้ลูกค้าปลายทางของเราเป็นภาครัฐเป็นหลักกว่า 90%”

 

ขณะที่ภาพรวมการแข่งขันปีนี้ คุณภานุวัฒน์  เล่าว่า ธุรกิจไอทีได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นนับจากช่วงสถานการณ์วิกฤต โควิด-19 เป็นต้นมา โดยเฉพาะในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า การทำงานของภาครัฐต่อไปจะเปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัล มากยิ่งขึ้น และจะทำให้ supreme มีโอกาสจากตลาดที่เติบโตมากยิ่งขึ้น แต่คงไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า แต่ละปีจะโตเท่าไหร่ เพราะขึ้นกับนโยบายของแต่ละรัฐบาล แต่จากภาพรวมของ supreme ตั้งเป้าจะเติบโตไม่น้อยกว่าปีละ 10-15% อยู่แล้ว

 

ส่วนคู่แข่งในตลาดนั้น คุณภานุวัฒน์ ชี้แจงว่า หากพูดถึงคู่แข่งในรูปแบบเดียวกันตรงๆ อาจจะไม่สามารถเปรียบเทียบว่า เหมือนกันได้ เพราะธุรกิจ SI เป็นธุรกิจที่ทำตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ส่วนใหญ่คู่แข่งในตลาด SI อาจจะใช้คำว่า ใกล้เคียง อาทิ AIT หรือ TKC ประมาณนี้ ขณะที่ supreme มีจุดแข็งในเรื่องประสบการณ์ในเป็นคู่สัญญากับภาครัฐมาก่อน รวมถึงการมีทีมงานที่มีประสิทธิภาพ  และมีศูนย์บริการต่างจังหวัด ที่ปัจจุบันมีอยู่ 3 ศูนย์เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างทั่วถึงกว่า ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ นครสวรรค์ หรือสงขลา

 

สำหรับธุรกิจสิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนัก คือ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่ง supreme มองว่า นั่นกลับกลายเป็นข้อดี เพราะทำให้สินค้าต้องมีการปรับเปลี่ยนในทุก 3-5 ปี เป็นการเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจมากกว่า ขณะเดียวกันการที่มีลูกค้าเป็นภาครัฐเกือบ 100% ทำให้บริษัทฯ ไม่ต้องมีสต็อกสินค้า เพราะจะจัดทำตามคำสั่งที่ได้รับเท่านั้น อาจจะมีสินค้าสต็อกบ้างในจำพวกอะไหร่ที่ใช้สำหรับการบริการหลังการขายเท่านั้น

 

ส่วนการนำเตรียมขายหุ้น IPO จำนวน 200 ล้านหุ้น เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้  1. เพื่อเป็นเงินทุนรอบรับการประมูลโครงการที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อผลประกอบการที่ดีขึ้น  2.  เพื่อลงทุนซื้อกิจการเพื่อต่อยอดธุรกิจเดิมของบริษัทฯ (Mergers & Acquisitions) และ  3. เอามาเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจปัจจุบัน และการดำเนินอื่นใดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท

 

คุณภานุวัฒน์ เล่าเพิ่มเติมว่า เงินที่ได้จากการระดมทุน 40-50% จะใช้ในวัตถุประสงค์ข้อแรกเพื่อรองรับการประมูลโครงการใหญ่ๆ ส่วนอีก 30% จะใช้ในการทำ M&A และที่เหลืออีก 20-25% จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยตั้งเป้าว่า หลังเข้าตลาดฯ supreme จะมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน และเป็นผู้นำในด้าน SI และจะต่อยอดไปยังธุรกิจ Smart City และ Public Safety

 

ในช่วงท้าย คุณภานุวัฒน์ ฝากถึงนักลงทุนที่มีความสนใจ ว่า เรามีความตั้งใจให้ supreme เป็น Hybrid Stock ที่เป็นทั้ง Growth Stock และ Dividend Stock สะท้อนจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ที่มีการเติบโตมาตลอดไม่ว่าจะเป็นกำไรหรือยอดขาย หากดูค่าเฉลี่ยจะพบว่า ผลประกอบการมีกำไรเบื้องต้นที่ 20-30% และมีกำไรสุทธิ 10-12%

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com