ธนาคารทิสโก้แนะเพิ่มน้ำหนัก 3 สินทรัพย์ ได้แก่ ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นเฮลธ์แคร์และ ทองคำ ชี้มีโอกาสสร้างกำไรท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงโค้งสุดท้ายปี 66 ทั้งสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส อัตราดอกเบี้ยสูง และราคาหุ้นแพง
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2566 ธนาคารทิสโก้แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน 3 สินทรัพย์ปลอดภัย คือ 1. ตราสารหนี้ต่างประเทศ2. หุ้นเฮลธ์แคร์ และ 3. ทองคำ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างกำไรท่ามกลางปัจจัยกดดันในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งมีอยู่ 3 ประเด็น คือ 1. สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส 2. อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงเพิ่มความตึงตัวให้กับสภาวะการเงิน กดดันการเติบโตเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า และ 3. ตลาดหุ้นแพง เพราะตลาดคาดการณ์กำไรตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2567 สูงเกินไป และไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดย Bloomberg consensus คาดการณ์ว่า ปี 2567 กำไรบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะเติบโต 12% สวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่า ปี 2567 จะเติบโต 1%
สำหรับรายละเอียดสินทรัพย์ที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนในช่วงนี้ มีดังนี้
1. ตราสารหนี้ต่างประเทศ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชน ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ อายุเฉลี่ยระยะกลางถึงยาว และมีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA- ขึ้นไป พร้อมทั้งควรเป็นตราสารหนี้ที่มีอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ (YTM) มากกว่า 5% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ไทยที่อยู่ราว 2.5%
ทั้งนี้ หากปี 2567 เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะถดถอย จนทำให้ธนาคารกลางต้องหันกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยลง การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากสองทางคือ 1. ได้รับอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ และ 2. เพิ่มโอกาสรับกำไรจากส่วนต่างด้านราคาหน้าตั๋ว (Capital gain) กว่า 10% สะท้อนให้เห็นว่า ตราสารหนี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูงและมีความเสี่ยงที่ต่ำ (Low Risk High Return)
2. หุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensive) เช่น หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ถือเป็นกลุ่มที่รายได้มีความแข็งแกร่ง จากการขายสินค้าจำเป็น ทำให้ความต้องการสินค้าไม่ชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจ นอกจากนี้ บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังมีอำนาจในการปรับขึ้นราคาสินค้า (Pricing Power) และมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนในช่วงที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สะท้อนผ่านตัวเลขอัตรากำไร (Profit margin) ที่อยู่ในระดับสูงและมีความสม่ำเสมอ กำไรของธุรกิจเฮลธ์แคร์ จึงมีความแข็งแกร่งกว่าอุตสาหกรรมอื่น สามารถเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเป็นหุ้นกลุ่มที่มักจะสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้งที่ผ่านมาในอดีต
นอกจากนี้ ในปี 2567 หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ถือเป็นกลุ่มที่ “เติบโตสูง ราคาไม่แพง” เนื่องจากนักวิเคราะห์จาก FactSet คาดการณ์ว่ากำไรของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์จะเติบโตได้สูงถึง 15.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) นับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P500 ที่มีแนวโน้มขยายตัว 12.2% YoY นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ยังมีมูลค่า (Valuation) ที่ต่ำกว่าภาพรวมตลาด สะท้อนจากค่า อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นปี 2567 (Forward P/E) ที่อยู่เพียงแค่ 17 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P500 ที่ซื้อขายกันที่ Forward P/E 18 เท่า ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนมีต่ำกว่าหุ้นอุตสาหกรรมอื่นๆ
3.ทองคำ เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นภาวะวิกฤติเศรษฐกิจหรือภาวะสงคราม ทองคำยังคงเป็น “Safe heaven” หรือสินทรัพย์ปลอดภัยซึ่งในสภาวะปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงประกอบกับความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดเดาได้ยาก การกระจายเงินลงทุนบางส่วนไว้ในทองคำ น่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีนอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากกระแส De-dollarization หรือการที่ธนาคารกลางทั่วโลก ลดการถือครองดอลลาร์และเพิ่มการถือครองทองคำมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการซื้อทั้งจากบรรดาธนาคารกลางและนักลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง