SCB CIO มองปัจจัยทางเศรษฐกิจที่จะกดดันตลาดด้านการลงทุนยังคงมีความไม่แน่นอนอสูง ทั้งปัจจัยจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังปรับลดลงค่อนข้างช้า การแก้ปัญหาเพดานหนี้ในสหรัฐ รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แนะจัดพอร์ตลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุยาว และหุ้นกู้คุณภาพสูง 60% อีก 30% ลงทุนในหุ้นเน้นตลาดเกิดใหม่ เช่นจีนและไทย ส่วนอีก 10% ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ SCB CIO ยังคงแนะนำให้ผู้ที่ลงทุน จัดพอร์ตลงทุนแบบระมัดระวัง เนื่องจากยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนรออยู่มากทั้งปัจจัยเรื่อง ทิศทางอัตราดอกเบี้ย ที่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เกือบทุกประเภท โดยเราคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.00-5.25% ไปจนถึงสิ้นปีนี้ แต่ตลาดคาดการณ์ว่า Fed อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในการประชุมเดือน มิ.ย. เนื่องจาก Fed ระบุไว้ว่าการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยจะต้องพิจารณาข้อมูลหลายรายการประกอบกัน ซึ่งขณะนี้ สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังปรับลดลงช้า ขณะที่ค่าแรงยังไม่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จึงมีโอกาสที่จะยังปรับขึ้นดอกเบี้ยได้
ขณะที่ แนวโน้มเงินเฟ้อ เป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยในปีนี้มีความเป็นไปได้ยากที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวจนถึงระดับ 2% ตามเป้าหมายของ Fed ฉะนั้นจะทำให้อัตราดอกเบี้ยน่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพสถาบันการเงินสหรัฐฯ เนื่องจากในช่วงโควิดสถาบันการเงินในสหรัฐฯ มีสภาพคล่องสูง โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันการเงินในท้องถิ่น จึงนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯค่อนข้างมาก ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น เมื่อผลตอบแทนพันธบัตรปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย Fed ในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ราคาพันธบัตรปรับลดลง และทำให้สถาบันการเงินเหล่านี้ต้องขาดทุนบนงบดุล จึงมีเงินทุนไม่เพียงพอ แม้ว่ากระทรวงการคลังและ Fed จะยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างรวดเร็วผ่านโครงการปล่อยวงเงินกู้ฉุกเฉินอัดฉีดสภาพคล่องผ่านโครงการBank Term Funding Program แต่เนื่องจากสถาบันการเงินเข้ามากู้ยืมผ่านโครงการนี้ค่อนข้างมาก สะท้อนว่า ยังมีความต้องการสภาพคล่องสูง ดังนั้น จึงยังประมาทกับประเด็นนี้ไม่ได้ ขณะเดียวกันคาดว่า ในระยะต่อไปการกำกับดูแลธนาคารขนาดกลางและขนาดย่อมในสหรัฐฯ จะมีความเข้มข้นขึ้น ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร การปล่อยสินเชื่อซึ่งอาจจะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง และกดดันทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ
ส่วนกรณี การแก้ปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ เป็นประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่จะมีผลต่อตลาดการลงทุนอย่างมาก หากสหรัฐฯปล่อยให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้. เพราะไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้ทันก่อนกระแสเงินสดในคลังจะหมด เนื่องจากจะทำให้สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ มีผลทำให้ต้นทุนการกู้ยืมทุกอย่างเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม SCB CIO มองว่า ประเด็นนี้ ทั้งทางพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตน่าจะตกลงกันได้ในที่สุด แต่เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ความเสี่ยงที่ยังอาจเกิดขึ้นได้อยู่ ดังนั้น เพื่อความรอบคอบในการลงทุน ผู้ลงทุนควรชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงก่อน จนกว่าประเด็นนี้จะมีความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ เป็นประเด็นที่ต้องจับตาในช่วงปลายปี โดยปัจจุบันตลาดมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะเติบโตน้อยมาก หรือเกิดเศรษฐกิจถดถอยแต่ไม่รุนแรง เนื่องจากภาวะการจ้างงานในสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งอยู่ ซึ่งหากเป็นตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ในระยะกลางถึงระยะยาว ตลาดหุ้นก็น่าจะยังปรับตัวขึ้นได้อย่างช้าๆ แต่หากผิดไปจากที่คาดไว้ คือจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง ก็อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงได้
นายศรชัย กล่าวถึงการจัดพอร์ตลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีว่า นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง แนะนำลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว รวมถึงหุ้นกู้คุณภาพสูงในสหรัฐฯ ในสัดส่วน 60% ของพอร์ต เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจข้างหน้า ส่วนอีก 30% แนะลงทุนในหุ้นโดยใช้กลยุทธ์ทยอยเข้าลงทุนในจังหวะที่ตลาดย่อตัวลงมา เน้นคัดเลือกหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า กรณีที่สหรัฐฯ เกิดเศรษฐกิจถดถอย ได้แก่ หุ้นจีน หุ้นไทย และหุ้นในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ เป็นต้น และอีก 10% ควรกระจายความเสี่ยงลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) โดยให้น้ำหนักที่ทองคำ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่รับมือภาวะเศรษฐกิจถดถอย และภาวะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ได้ดี
“ปีนี้การวางกลยุทธ์ลงทุนทำได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่สินทรัพย์ทุกประเภทปรับตัวลดลงอย่างพร้อมเพรียง โดยตลาดหุ้นปีนี้ไม่ได้ปรับตัวลดลงทุกตลาดและแต่ละตลาดไม่ได้ปรับตัวลงทุกกลุ่มธุรกิจ นอกจากนี้ยังมี ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนให้ต้องติดตามกันต่อเนื่อง ได้แก่ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มเงินเฟ้อ เสถียรภาพสถาบันการเงินในสหรัฐฯ การแก้ปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ดังนั้น SCB CIO มองว่า ผู้ลงทุนก็ยังคงต้องเน้นจัดพอร์ตลงทุนแบบระมัดระวังก่อน” นายศรชัย กล่าว
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนไม่ดีเท่ากับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค แม้ว่าจะได้รับอานิสงส์จากการที่จีนเปิดเมือง เนื่องจากไทยยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง ในประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลเป็นปัจจัยเฉพาะตัวอยู่ อย่างไรก็ตาม ตลาดรับรู้เรื่องปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาลไปมากพอสมควรแล้วในราคาหุ้น และอาจจะมีตกใจมากเกินไป จนทำให้ราคาหุ้นขนาดใหญ่ที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากนโยบายของพรรคที่กำลังจัดตั้งรัฐบาล ปรับลดลงไปมากพอสมควร จนมูลค่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมมากขึ้น ประกอบกับ ช่วงที่ดอกเบี้ยใกล้จะหยุดปรับขึ้น หรือเริ่มขึ้นช้าลง จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาว เพียงแต่ตลาดจะค่อยๆ ฟื้นตัว คือปรับขึ้นได้ เพียงแต่ในระยะสั้นระหว่างการปรับขึ้นจะมีการปรับฐานเป็นช่วงๆ ดังนั้น เราจึงแนะนำให้หาจังหวะช่วงที่ตลาดปรับฐาน ทยอยเข้าสะสมกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย
นายศรชัย กล่าวว่า ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญกับการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Asset Allocation) และมีการทบทวนสัดส่วนสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมทั้งเป้าหมายการลงทุน