ธนาคารซิตี้แบงก์เผยเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกเติบโตต่อเนื่อง จากการลงทุนในภูมิภาคสูงขึ้นประกอบกับเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว และโลหะ ยังอยู่ในระดับต่ำจากการที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่เศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3.6% จากปัจจัยการบริโภคภาคเอกชน การฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ตลอดจนการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะจากต่างประเทศ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น คาด SET Index อยู่ที่ 1,527 จุด ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังมีความไม่แน่นอน แต่หากไม่มีมาตรการนี้ ภาครัฐมีแนวโน้มออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.7% อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังอยู่ที่ 2.5% จนถึงปี 2568
นางสาวโจฮันน่า ฉัว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดเอเชียแปซิฟิก ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปีนี้ จะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2567 ที่ระดับ 0.25% และคาดว่าตลอดปีจะลดดอกเบี้ยทั้งหมด 5 ครั้ง ที่ระดับ 1.25% ขณะที่ธนาคารกลางในเอเชียจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่น้อยกว่าทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐอเมริกาและเอเชียน้อยลง ส่งผลให้เงินลงทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันจะเริ่มเห็นความต้องการสินค้าโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีน ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคทยอยฟื้นตัว สำหรับ GDP ของประเทศจีนในปี 2567 จะเติบโตที่ 4.6% ขณะที่GDP ประเทศอินเดียเติบโตที่ 7%”
นายแอนโทนี่ หยวน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ธุรกิจพลังงาน ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า“ภาพรวมราคาสินค้า โภคภัณฑ์ในระยะสั้นมีแนวโน้มลดลง โดยราคาน้ำมันดิบปี2567 อยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากการที่เศรษฐกิจโลก ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงอุปทานน้ำมันของประเทศผู้ผลิตนอก OPEC สูง ตลอดจนความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบลดลง อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันอาจปรับเพิ่มขึ้นหากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีกว่าที่คาด ด้านราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) ยังทรงตัวในระดับต่ำ แต่สูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิดไปจนถึงปี 2569 หากทวีปยุโรปและเอเชียไม่เผชิญปัญหาสภาพอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ ส่วนราคาโลหะภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะทองแดง ยังคงอยู่ในระดับเดิมจากการสถานการณ์เศรษฐกิจโลก แต่ในช่วง 2 ปีข้างหน้ามีโอกาสปรับตัวดีขึ้น จากการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยี Decarbonization ซึ่งใช้ทองแดงเป็นส่วนประกอบหลัก”
ด้าน นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทยกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 จะเติบโตอยู่ที่ 3.6% จากการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ภาคการส่งออกที่ฟื้นตัว 3.3% จากปีก่อนหน้าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจะเป็นปัญหาทางโครงสร้างที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้านภาคการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวราว 35.2 ล้านคน และเพิ่มเป็น 41 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว สำหรับเทรนด์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่โดดเด่น ได้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
“การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ งบประมาณปี 2567 อย่างไรก็ตามต้องติดตามข้อสรุปของการอนุมัติร่าง พ.ร.บ. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่หากมาตรการดังกล่าวไม่เกิดขึ้น ซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจมีมาตรการอื่น ๆ ซึ่งอาจใช้งบที่ลดลงและมุ่งเน้นไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังอยู่ในระดับ 1-3% ของกรอบเป้าหมาย ที่ 1.7% ในปี 2567 โดยมีความเสี่ยงขาขึ้นจากปัจจัยความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก ผลของปรากฏการณ์เอลนีโญต่อปริมาณผลผลิตทางการเกษตร และการทยอยลดการอุดหนุนราคาพลังงานของรัฐบาล ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะรักษาดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% จนถึงปี 2568 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ” นางสาวนลิน กล่าวสรุป
ขณะที่ นายสิทธิโชค เตชะศิรินุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ซิตี้คอร์ปประเทศไทย จำกัด กล่าวถึง ภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยว่า “ตลาดหุ้นไทยปี2567 ได้รับความสนใจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนมากขึ้น จากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นฟู 80-90% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 โดยคาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ (SET Index) อยู่ที่ 1,527 จุดสำหรับธีมการลงทุนที่โดดเด่น ได้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่ให้ผลตอบแทนสูง กลุ่มโรงพยาบาลและธุรกิจด้านการแพทย์ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตในหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้านอกจากนี้การลงทุนในกลุ่มธุรกิจการบริโภคอุปโภค และโรงกลั่น มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน”