SGP ประกาศผลประกอบการปี 66 กวาดรายได้ 90,598.94 ลบ. บุ๊คกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ที่ 1,017.59 ลบ. ด้านบอร์ดไฟเขียวแจกเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 0.15 บาท/หุ้น ขึ้น XD 14 มี.ค.นี้ พร้อมเปิดแผนปี 67 ตั้งเป้ายอดขายโต 11%
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยว่าผลประกอบการในงวดปี 2566 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 1,017.59 ล้านบาท ลดลง 4.92% เทียบกับงวดปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 1,070.21 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย จากการขนส่ง และการให้บริการ 90,598.94 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 102,117.25 ล้านบาท ลดลง 11.28% รายได้โดยรวมลดลงจากธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG ในต่างประเทศ ซึ่งมีสาเหตุมาจากราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก (CP Saudi Aramco) ที่ปรับตัวลดลงกว่าปีก่อน ราคาก๊าซเฉลี่ยโดยรวมสำหรับปี 2566 ราคาเฉลี่ยประมาณ 576 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน ขณะที่ในปี 2565 ราคาก๊าซเฉลี่ยโดยรวมประมาณ 736 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน
“บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นในปี 2566 จำนวน 3,471.51 ล้านบาท คิดเป็น 3.83% เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2565 ที่มีกำไรขั้นต้น 2,497.20 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.45% โดยกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจำนวน 974.31 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.02% เนื่องจากราคา LPG ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 จึงมีผลทำให้กำไรขั้นต้นโดยรวมของปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปี 2565” นางจินตณา กล่าว
อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิของบริษัท และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท รวมเป็นเงินที่จ่ายปันผลในปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท คิดเป็นเงินรวม 459.47 ล้านบาท ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับมติของผู้ถือหุ้นในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ในวันที่ 25 เมษายน 2567 โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 14 มีนาคม 2567 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 20 พฤษภาคม 2567
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 11% จากปีที่ผ่านมา โดยปริมาณขายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) คาดอยู่ที่ราว 4 ล้านตัน จากปีที่ผ่านมาที่มีปริมาณขายอยู่ที่ 3.61 ล้านตัน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการขายก๊าซ LPG ที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการใช้ที่มากขึ้น หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายในหลายประเทศ และเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวด้วย ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ มีความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัตตาคาร ร้านค้า ผู้ประกอบการรถขนส่งขนาดใหญ่ และรถขนส่งสาธารณะ รวมไปถึงมีการขับเคลื่อนของภาคธุรกิจการท่องเที่ยว อีกทั้งราคาน้ำมันในประเทศที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการใช้แก๊สในภาคธุรกิจขนส่งเริ่มกลับมาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ส่งผลดีต่อยอดขายของบริษัท
อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงวางแผนการเข้าไปลงทุนในกลุ่ม CLMV ประเทศที่บริษัทยังไม่ได้มีการปักหมุกในนั้น รวมถึงการบุกตลาดใหม่ๆในแถบเอเชียใต้มากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตคู่ขนานทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ อย่างมั่นคง และช่วยสนับสนุนภาพรวมการเติบโตในอนาคตเพิ่มเติม