แนวโน้มตลาดวันนี้ (16 ก.ย.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด แม้ SET พักตัวอยู่ในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ทำให้บาทแข็งค่า จากที่คาดเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้วันที่ 17-18 ก.ย. ยังเป็นปัจจัยบวกด้าน fund flow ช่วยหนุนดัชนี โดยมีแนวต้านบริเวณจุดสูงเดิมที่ 1430 และ 1435 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณที่ดีต่อในภาพรวม ด้านแนวรับอยู่ที่ 1415-1420 จุด คาดยังรองรับได้
ประเด็นสำคัญ
• สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเผยยอดค้าปลีกและการผลิตอุตสาหกรรม ส.ค. +2.1% และ +4.5% ตามลำดับและต่ำกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนความไม่สมดุลของเศรษฐกิจจีน จากอุปทานที่ขยายตัวเร็วกว่าการบริโภค
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ถูกลอบสังหารเป็นครั้งครั้งที่สองในรอบสองเดือนในสนามกอล์ฟส่วนตัวในมลรัฐฟลอริดา ทั้งนี้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
• คลังพร้อมแจกเงินสดหมื่นบาทโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแก่กลุ่มเปราะบาง โดยจะโอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ในวันที่ 25-27 และ 30 ก.ย. นี้
• กรมธุรกิจพลังงานเผยยอดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยรอบ 7M67 ที่ 156.5 ล้านลิตร/วัน +0.2%YoY โดยยอดการใช้น้ำมันอากาศยานและดีเซล +16.3%YoY และ +3.3%YoY ตามลำดับ ส่วนเบนซินลดลง 1.4%YoY จากการใช้ EV ที่เพิ่มขึ้น
• ปลัดคลังเผยได้รับการติดต่อจากกระทรวงคมนาคมเพื่อจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อซื้อคืนรถไฟฟ้าเพื่อผลักดันให้ค่าโดยสารอยู่ที่ 20 บาทตลอดสาย คาดต้องระดมทุนราว 5 แสนลบ. สำหรับ 6 โครงการ โดยเสนอขายหน่วยลงทุนแก่ประชาชนหรือสถาบัน
• ส.อ.ท. ประเมินอุทกภัยในปีนี้จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนราว 2.5-2.7 หมื่นลบ. ล่าสุดนายกฯ นัดประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยวันนี้ หลังหนองคายเผชิญหนักสุดในรอบ 16 ปี
• สมาคมโรงแรมไทยเสนอ 5 มาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโรงแรม เช่น ส่งเสริมการเที่ยววันธรรมดา การประชุมและสัมมนา, โครการเราเที่ยวด้วยกันช่วง low season และการช่วยเหลือค่าใช้จ่าย และลดหย่อนภาษี เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมอง SET ยังอยู่ในช่วงของการพักตัวและมี Upside จำกัด แต่อาจมีปัจจัยหนุนจากความคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งจะช่วยหนุนบรรายากาศลงทุนของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ดี ต้องจับตาความแตกต่างด้านการดำเนินนโยบายของ BoJ ซึ่งอาจส่งผลต่อ Yen Carry Trade ที่อาจกระตุ้นแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกได้ ท่ามกลางกระแสเงินในตลาด EM ที่ไม่ชัดเจน ทั้งนี้ในส่วนของตลาดหุ้นไทยมองจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าในกลุ่ม Defensive อย่าง กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการแพทย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์ มอง SET อยู่ในช่วงพักตัวและมี Upside จำกัด แต่อาจมีปัจจัยหนุจากความคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะช่วยหนุนบรรยากาศลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีม ดังนี้
1. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งเทคนิคมีสัญญาณกลับตัว และ Valuation ยังไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER และ PBV ต่ำกว่า -1SD แนะนำ AP GPSC MTC AMATA
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC) กลุ่มอสังหาฯ (AP) กลุ่มค้าปลีก (CPALL CPAXT) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF)
3. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Ratings สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL BCP ADVANC HMPRO
Top Picks วันนี้
GULF: มองกำไรจะเติบโตต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่ม: GDP หน่วยที่ 4 (662.5MW, เริ่มเดินเครื่อง ต.ค. 67) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา อีกทั้งยังมีมุมมองเชิงบวกต่อดีลควบรวมระหว่าง GULF กับ INTUCH ขณะที่ Valuation น่าสนใจ ซื้อขาย PER 33 เท่า (-1.0 SD) อีกทั้งยังได้ประโยชน์ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
AMATA: คาดผลประกอบการปี 2567 เติบโต 27.3% YoY หลังเพิ่มประมาณการจาก Backlog ที่แข็งแกร่งใน 2H67 โดยทำNew High เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2567 และเพิ่มเป้าขายที่ดินขึ้นเป็นมากกว่า 2000 ไร่ จากเดิมที่มองเป็นช่วง 1800-2000 ไร่ AMATA เป็นหนึ่งในหุ้นในกลุ่มนิคมฯ ที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น