เอเซีย พลัส จับชีพจรตลาดหุ้นสหรัฐ-ไทย ช่วงไตรมาส 2 สงครามการค้าผันผวนสูง ชูกระจายลงทุน ตปท. เน้นหุ้นกลุ่มพื้นฐานดี /Domestic /Defensive /Dividend ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุน อาทิ China Mobile, Coca-Cola, Costco, Eli Lilly, Fast Retailing, Giant Biogene, Gree Electric, Midea, Netflix, Tingyi, Walmart, Sea Limited ส่วนตลาดหุ้นไทย ทำใจตลาดยังหนืด อยู่ในช่วงสหรัฐเลื่อนใข้ภาษีฯ 90 วัน และมีแรงหนุน GDP ไตรมาสแรก ยังโต 3% และกำไร บจ. ยังออกมาดี แต่ครึ่งปีหลังรอติดตามผลกระทบภาษีทรัมป์ พร้อมเปิดโพลหุ้นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง และมี High Dividend Yield + Profit Growth ในปี 68-69 ได้แก่ “SCC CPALL BDMS WHA KCE CK AP SCGP BBL”
นายธรรมรัตน์ กิตติสิริพัฒน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์หุ้นต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด(ASPS) ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์จำกัด (มหาชน) หรือ ASPS เปิดเผยว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รุนแรงเป็นประวัติการณ์ หลังตอบโต้กันไปมาผ่านการขึ้นอัตราภาษีศุลกากร ซึ่งเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบมากในช่วงเปลี่ยนผ่าน 1-2 ปีแรกจากสงครามการค้า ทำให้ตลาดมองความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ สูงขึ้น และมีแนวโน้มหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจลงเพิ่มเติมทั้งในและนอกสหรัฐฯ สำหรับตลาดการเงินกลับมาให้น้ำหนักมากขึ้นที่ Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้
ขณะที่ตลาดการเงินมองว่า BoJ มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดปีนี้ อย่างไรก็ดี ค่าเงินเยน (JPY) กลับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว สะท้อนบทบาทสกุลเงิน Safe-Haven สอดรับกับเครื่องชี้ภาวะ Risk off อื่นๆ
“ในระยะสั้น มีสัญญาณที่ดีเกิดขึ้นต่อประเทศคู่ค้า (ยกเว้นจีน) ในเรื่องสงครามการค้า หลังสหรัฐฯ ได้มีการผ่อนผันภาษีตอบโต้ 90 วัน แต่ยังต้องเฝ้าระวังอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีการขู่จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม อาทิ Pharmaceutical และ Semiconductor”
สำหรับเป้าหมายดัชนี S&P500 ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าและความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย โดยในปีนี้ ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงมากกว่า 20% YTD ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1990 ที่ดัชนีมีการปรับตัวลงตั้งแต่ 10% ขึ้นไป แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และปรับตัวลงอยู่ในช่วงกรอบบนของภาวะตลาดหมีในอดีต
สำหรับคำแนะนำ การลงทุนหุ้นต่างประเทศ ว่า “ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะแนวโน้มการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและการที่สหรัฐฯ โดนโต้ตอบจากคู่ค้า รวมถึงความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องและอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย แนะลงทุนหุ้นกลุ่มพื้นฐานดีที่เน้น Domestic / Defensive / Dividend เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต เนื่องจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่มีอยู่สูงและความเสี่ยงด้านต่ำจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ต้องติดตามประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่อาจลุกลามไปนอกเหนือจากภาษีทางด้านการค้า ความเสี่ยงหนี้สาธารณะชนเพดานของสหรัฐฯ รวมทั้งแผนปรับลดภาษีของสหรัฐฯ” นายธรรมรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ สายงานวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ประเมินภาพในช่วงไตรมาสที่ 2 (Q2/68) ที่ต้องติดตาม คือ การเปลี่ยนแปลงการเมืองโลกยุค TRUMP 2.0 เป็นเรื่องที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ เสี่ยงแพร่กระจายไปทั่วโลก(ไม่ใช่แค่จีนประเทศเดียว) โดยคาดสหรัฐจะเริ่มปรับขึ้นภาษีนำเข้าในช่วง 2Q68 เป็นต้นไป กดดัน GDP โลกปี 2025F โตต่ำกว่า 3% อย่างไรก็ตามแรงกดดันจากการตั้งกำแพงภาษีสหรัฐที่ไม่มีการตอบโต้กลับกว่า 75 ประเทศ ถูกเลื่อนออกไป 90 วัน ซึ่งอาจหนุนให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นในช่วงสั้นได้ ขณะที่มุมนโยบายการเงินสหรัฐฯ แม้ FED ส่งสัญญาณ Hawkish เพิ่มขึ้น แต่ในปีนี้ตลาดมองมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 3 – 4 ครั้ง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอลง
ส่วนเศรษฐกิจไทยปี68 ประเมินเบื้องต้นอาจกดดัน GDP ไทยชะลอลงซึ่งคาดว่าตัวเลขมีโอกาสต่ำกว่า 2.0% จากหลายปัจจัยกดดันทั้งการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นในตลาดสินค้าโลก ซึ่งจะกระทบต่อภาคส่งออกไทยโดยตรง และการลงทุนทางตรงของต่างชาติที่มีความไม่แน่นอนสูง กดดันให้มูลค่า FDI/ BOI มีแนวโน้มลดลง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว น่าจะเห็นมาตรการที่จะเข้าประคับประคองทั้งนโยบายการคลังที่มีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มกรอบวินัยการคลัง จากหนี้สาธารณะ 70%ของ GDP ให้สูงขึ้น และนโยบายการเงิน ซึ่งน่าจะเห็น กนง.ปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง เหลือ 1.75% ในการประชุมรอบ 30 เม.ย.68 โดยการดอกเบี้ยลง 25 BPS. ขณะที่ Downside ของ EPS 2568 ของบริษัทจดจะเบียนไทยยังมีเปิดอยู่ จากราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มขาลง และ กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ส่วนตลาดหุ้นไทยช่วง 1Q68 ย่อตัวลงมาลึกเกินไป โดยRETURN (QTD) -15% จนมี VALUATION ถูก มีPBV68F 1.0 เท่า (-2SD) ต่ำสุดเป็นอันดับต้นๆของโลก (MSCI WORLD 2.97 เท่า) และ SET มีDIVIDEND YIELD 68F สูง 4.4% (+1SD) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และคาดหวังผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาวได้ โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมินเป้าหมายดัชนีปลายปี 68 แบบอนุรักษ์นิยม (CONSERVATIVE) ภายใต้ EPS68F ที่ 89 บาทต่อหุ้น, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2% อิง MEYG 4.5% (+1 SD) ได้ดัชนีเป้าหมายปี 2568 ที่ 1424 จุด ส่วนแนวรับทางพื้นฐานภายใต้ EPS68F ที่หัก Downside จากค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบ WTI ในปีนี้ที่ถูกกว่าปีก่อนหน้าราว 10 เหรียญฯ จะเหลือ 80 บาท/หุ้น และอิง MEYG 5.8% (ระดับสูงสุดตลอดกาล) จะได้แนวรับทางพื้นฐานที่ระดับ 1026 จุด แต่ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้ง เหลือ1.75% จะได้แนวรับทางพื้นฐานที่ระดับ 1060 จุด
"ไตรมาส 2 นี้ คาดตลาดหุ้นไทยยังหนืด ๆ อยู่ เพราะเป็นช่วงของการเลื่อนใช้ภาษีทรัมป์ในระยะ 90 วัน จึงยังเป็นความคลุมเครือในไตรมาสสองแต่ก็จะมีประเด็นเรื่องของจีดีพีไทยไตรมาสแรกที่คาดว่าเติบโตสูง 3% และ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแต่งแรกที่ออกมาไม่น่าจะเลวร้าย จึงคาดว่าดัชนีน่าจะอยู่ระดับ 1170 จุด ส่วนกรอบล่างยังคงให้อยู่ที่ระดับ 1060 จุด “
ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 “SET กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นอันดับ 1 อุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์เห็นว่าแข็งแกร่ง และมี High Dividend Yield + Profit Growth 68-69 อย่าง SCC CPALL BDMS WHA KCE CK AP SCGP BBL