แนวโน้มตลาดวันนี้(26 พ.ย.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด Sentiment บวกของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับว่าที่รมว. คลังคนใหม่ และ Bond Yield สหรัฐฯ ปรับลง เป็นปัจจัยหนุน SET ขณะที่แรงกดดันจาก Fund Flow ไหลออกคาดลดลง จากดอลลาร์สหรัฐชะลอการแข็งแรง รวมสิ้นสุด MSCI Balance ไปแล้วเมื่อวานที่เป็น Effective Date ทำให้คาดดัชนีจะฟื้นตัวได้ โดยมีแนวต้านที่ 1450-1455 จุด ส่วนแนวรับ 1430-1440 จุด มองเป็นจุดรองรับได้
ประเด็นสำคัญ
• สศช. เผยหนี้ครัวเรือน 2Q67 ขยายตัว 1.3%YoY เป็น 16.32 ล้านลบ. ลดเหลือ 89.6% ต่ำกว่า 90% ของ GDP แต่ห่วงรายจ่ายครัวเรือนตึงตัว ผิดชำระหนี้สูง จับตาแบงก์เข้มปล่อยกู้ กดดันพึ่งหนี้นอกระบบ
• ส.อ.ท. ปรับลดเป้าผลิตรถยนต์ปีนี้จากเดิม 1.7 ล้านคัน เหลือ 1.5 ล้านคัน ต่ำสุดในรอบ 4 ปี โดยลดยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศจาก 5.5 แสนคัน เป็น 4.5 แสนคัน และยอดผลิตเพื่อส่งออกจาก 1.15 ล้านคัน เป็น 1.05 ล้านคัน จับตาผู้ผลิตชิ้นส่วนปิดโรงงาน
• BOI เผยผลการเยือนจีนวันที่ 19-22 พ.ย. ว่ามีบริษัทชั้นนำของจีนเข้าร่วมงานกว่า 600 ราย สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจีนที่ต้องการกระจายฐานการผลิตออกสู่ตลาดโลกท่ามกลางความกังวลต่อมาตรการกีดกันการค้ารอบใหม่ของสหรัฐ
• DAMAC ทุนอสังหาดูไบเผยความคืบหน้าลงทุนData Center ในไทยร่วมพันธมิตร PROEN เล็งขยายกำลังการผลิตจาก 5MW เป็น 20MW ภายในปีหน้า ตั้งเป้า 100MW ใน 3 ปี หลังเห็นอุปสงค์โตก้าวกระโดด
• กระทรวงพลังงานเตรียมเสนอมาตรการตรึงราคาเบนซินและดีเซล และตรึงค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 68 ที่ 4.18 บาท/หน่วยต่อไป โดยจะต้องพิจารณาหนี้ค้างสะสมของ กฟผ. และ PTT ก่อน
• รมว. พลังงานเผยความคืบหน้าการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 กำลังหารือกับกฤษฎีกาเพื่อตรวจสอบด้านกฎหมายและรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปี 2565 หากดำเนินการต่อได้ คาดจะมีการข้อสรุปภายในปีนี้
• แหล่งข่าวเปิดเผยว่าวันนี้คณะรัฐมนตรีสงครามของอิสราเอลจะพิจารณาข้อตกลงชั่วคราวเกี่ยวกับเงื่อนไขในการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์
Daily top picks
GULF: 4Q67 คาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดอีกครั้งจากการขยายกำลังการผลิต โดยมีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจากผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการกับ INTUCH ที่จะหนุนให้งบดุลของบริษัทปรับตัวดีขึ้นและช่วยสนับสนุนการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศที่กำลังจะมาถึง รวมถึงการเริ่มต้นวงจรอัตราดอกเบี้ยขาลง
FTREIT: ราคาปรับตัวลดลงมาแล้ว 4.5% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ Div. Yield ดูน่าสนใจมากขึ้นที่ 7.1% ในปี FY2567 และ 7.3% ในปี FY2568 นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์จากความต้องการพื้นที่อุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยจากการพูดคุยกับผู้จัดการกอง REIT ยังไม่มีสัญญาณว่าลูกค้าจะชะลอการตัดสินใจหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ ทั้งนี้ปัจจัยต่างประเทศยังค่อนข้างจำกัด โดยตลาดคาดดัชนี PCE ต.ค. ของสหรัฐฯ จะทรงตัวใกล้เคียงกับ ก.ย. ที่ระดับ 0.2%MoM และดัชนี PMI ภาคการผลิต พ.ย. ของจีนจะขยายตัวเล็กน้อยหรือใกล้เคียง ต.ค. ที่ระดับ 50.1 ส่วนกระแสเงินทุนคาดยังมีแนวโน้มไหลออกต่อเนื่องจากตลาดหุ้น EM รวมทั้งไทยและจีน สืบเนื่องมาจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์และความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของทรัมป์ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังอยู่ในช่วง บจ. ให้แนวโน้มผลประกอบการ 4Q67 และปี 2568 พร้อมรอติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ อีกทั้งตัวเลขส่งออกไทย ต.ค. คาดจะเติบโตเร่งตัวขึ้นเป็น 5.5%YoY จาก 1.1%YoY ใน ก.ย. ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”