บลจ.กรุงศรี ชี้กลยุทธ์คัดหุ้นไทยหนุนสร้างผลงานเหนือตลาด พร้อมคาดดัชนี SET สิ้นปี 2567 อยู่ที่ระดับ 1,500 จุด กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เผยกลยุทธ์การเข้าลงทุนในหุ้นไทย แนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนในช่วงที่ดัชนีฯปรับตัวลงมาแล้วอย่างในช่วงเวลานี้ และทยอยขายทำกำไรบางส่วน
นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรีจำกัด(บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปี 2567 ดัชนีผลตอบแทนรวม (SET TRI) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย และนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องจากปีก่อนหน้าส่งผลให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับความผันผวนของดัชนีฯ นอกจากนั้นผลตอบแทนในแต่ละธุรกิจมีความแตกต่างกันมากตั้งแต่ต้นปี เช่น หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวลดลงกว่า 16% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่หมวดธุรกิจการเกษตรที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 13% ในช่วงเวลาเดียวกัน ดังนั้นการคัดเลือกหลักทรัพย์จึงเป็นปัจจัยสำคัญกับผลการดำเนินงานของกองทุน”
แม้ช่วงที่ผ่านมาภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวน แต่ บลจ.กรุงศรี สามารถสร้างผลการดำเนินงานของกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย(General Equity) ได้อย่างโดดเด่น โดยมีผลการดำเนินงานอยู่ใน Quartile 1 จำนวนสูงถึง 28 กองทุน ครอบคลุมทั้งกองทุนหุ้นไทย กองทุน LTF กองทุน SSF และกองทุน RMF โดยผลการดำเนินงานที่ดีของกองทุนเกิดขึ้นจากกลยุทธ์การคัดเลือกลงทุนรายหลักทรัพย์ (stock selection) ซึ่งจากการที่ผลตอบแทนรายหมวดธุรกิจมีความแตกต่างกันอย่างมากตั้งแต่ต้นปี การคัดเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นในหลายหมวดธุรกิจสามารถช่วยให้กองทุนมีผลการดำเนินงานที่ดี ท่ามกลางความผันผวนของดัชนีได้
“สำหรับกองทุนหุ้นไทยที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุดคือ กลุ่มกองทุน KFDYNAMIC ที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เรียกว่า High Conviction เฟ้นหาหุ้นที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละภาวะตลาด เน้นการลงทุนในหุ้นจำนวนราวๆ 30 บริษัทซึ่งถือว่าไม่มากและให้น้ำหนักในหุ้นแต่ละตัวค่อนข้างสูง พอร์ตการลงทุนมีความยืดหยุ่นสามารถลงทุนในหุ้นได้ทุกประเภท เช่น หุ้นเติบโตสูง หุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก หรือหุ้นปันผลสูงโดยใช้การคัดเลือกหลักทรัพย์ลงทุนเชิงรุก บนระดับราคาที่เหมาะสมเพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับนักลงทุน”
กองทุนกรุงศรีหุ้นไดนามิค (KFDYNAMIC) มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่4.40% ในขณะที่ดัชนีชี้วัดอยู่ที่ -1.62% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -4.93% ในขณะที่ดัชนีชี้วัดอยู่ที่ -11.71% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 2.16% ต่อปี ในขณะที่ดัชนีชี้วัดอยู่ที่ -1.79% ต่อปี และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 0.89% ต่อปี ในขณะที่ดัชนีชี้วัดอยู่ที่ -0.45% ต่อปี
“กองทุนอื่นๆ ในกลุ่มนี้ซึ่งใช้กลยุทธ์การลงทุนเดียวกันล้วนแต่ให้ผลตอบแทนที่ดี เหนือกว่าดัชนีชี้วัดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กองทุนกรุงศรีหุ้นไดนามิคปันผล (KFDNM-D) ที่มีนโยบายจ่ายปันผล และกองทุนกรุงศรีหุ้นไดนามิคเพื่อการเลี้ยงชีพ (KFDNMRMF) (ที่มา : Morningstar / บลจ.กรุงศรี ณ 29 มี.ค. 67 / ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงการดำเนินงานในอนาคต /การจัดอันดับจาก Morningstar ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของ AIMC)
ในช่วง 3 เดือนต่อจากนี้ บลจ.กรุงศรี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อย เนื่องจากการประเมินมูลค่าของตลาดหุ้นไทยมีความน่าดึงดูดมากขึ้นหลังจากที่ปรับตัวลงมา หากมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ก็จะสามารถผลักดันให้ดัชนีฯปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่ยาก ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในระยะสั้น คือ ความชัดเจนด้านการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัล นอกจากนี้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และเอื้อต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ดัชนีตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาหลายตลาดปรับตัวเพิ่มสู่ระดับสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเสี่ยงนอกจากเรื่องแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐแล้วยังคงเป็นภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เผชิญกับความท้าทายในเชิงโครงสร้างในหลายๆ มิติ และยังคงไม่สามารถเติบโตได้หากไม่มีมาตรการกระตุ้นในระยะสั้น
“บลจ.กรุงศรี คาดการณ์ดัชนี SET สิ้นปี2567 จะอยู่ที่ระดับ 1,500 จุด กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจคือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว สำหรับกลยุทธ์การเข้าลงทุนในหุ้นไทยแนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนในช่วงที่ดัชนีฯปรับตัวลงมาแล้วอย่างในช่วงเวลานี้ และทยอยขายทำกำไรบางส่วนเมื่อดัชนีฯปรับตัวขึ้น” นางสุภาพร กล่าว