KKP ลั่นปีนี้สินเชื่อโต 3% โฟกัสคุณภาพ เร่งสะสางปมหนี้เสียอ่วมหนักจากรถมือสอง ทำใจปีนี้ NPL ขยับขึ้นอีกจาก 3% ปีก่อน พร้อมพยายามคุมต้นทุน เครดิต คอส ผลักดันแพลตฟอร์มต่างๆให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงิน
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจสำหรับปี 2567 ว่า “แนวโน้มทิศทางพัฒนาการตลาดเงินและตลาดทุนของโลกชี้ให้เห็นว่าธุรกิจในปัจจุบันได้ใช้ช่องทางที่หลากหลายในการระดมทรัพยากรมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ไม่จำกัดอยู่แต่เพียงสินเชื่อของธนาคาร ดังนั้น กลุ่มธุรกิจฯ จึงมุ่งพัฒนาต่อยอดธุรกิจบนสามแกนหลัก คือธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล และธุรกิจวาณิชธนกิจ เพื่อสร้างการเติบโตที่เข้มแข็งจากหลายช่องทาง และมีความยืดหยุ่นรองรับพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเข้าถึงข้อมูล เทคโนโลยีและกฎระเบียบ
โดยปีนี้ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จะเป็นฐานของรายได้ที่เติบโตตามขนาดของ Balance Sheet ดังนั้น จึงต้องมุ่งระดมเงินฝากเพื่อตอบสนองต่อความต้องการขยายสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น โดยการเติบโตสินเชื่อรวมคาดเติบโต 3% ภายใต้การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับการเน้นการจัดการและบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ตลอดจนขยายผลจากแพลตฟอร์มบริการดิจิทัลของกลุ่มธุรกิจ เช่น Digital Edge และ Dime เพื่อการเข้าถึงบริการทางการเงินของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้ารวมกว่า 700,000 ดาวน์โหลดแล้ว
โดยภาพรวมของ KKP ปีนี้จะหื้นตัวดีขึ้นหลังจากปีก่อนที่หดตัวลง เนื่องจากแรงกดดันจากผลขาดทุนรถยึด ซึ่งคาดว่าปีนี้จะลดลงตามปริมาณสต็อกที่ทยอยลดลงจากสิ้นปี66 อยู่ที่ 4,500 คัน โดยไตรมาสแรกนี้ ตั้งเป้าหมายขายรถมือสองออกไปให้ลดลงเหลือ 3,500 คัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้กลับเข้าสู่ระดับปกติ ส่วนแนวโน้มการตั้งสำรองหนี้ฯจะเริ่มลดลงเนื่องจากปีที่แล้ว ธนาคารได้ตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท
"ปีนี้จะโฟกัสคุณภาพการปล่อยสินเชื่อเข้มงวดและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อดี และมีศักยภาพและความสามารถชำระหนี้ ค่อนข้างดีเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยสูง เช่น สินเชื่อบ้าน จะเน้นการปล่อยผ่านผู้ซื้อบ้านราคา 5-7 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนเช่าซื้อรถยนต์ปีนี้จะชะลอลงเพื่อควบคุมคุณภาพลูกค้าในพอร์ต เช่าซื้อยังเป็นกลุ่มที่ทำให้ทิศทางของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ในปี นี้จะเพิ่มขึ้น คาดอยู่ที่ 3.5-3.7% จากปีก่อนที่ 3.2% สำหรับลูกค้าธุรกิจจะเข้มงวดในด้านเครดิตและประวัติการใช้แหล่งเงินทุน ซึ่งจะพิจารณาแหล่งเงินทุนของลูกค้าที่ใช้มาก่อนหน้านี้และยอดคงค้างอยู่ เพื่อประเมินการอนุมัติสินเชื่อ และจะระมัดระวังรายที่ออกหุ้นกู้มากเกินไป และใช้เงินทุนไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ "
ด้านต้นทุนการให้สินเชื่อ (Credit Cost) ในปีนี้ ตั้งเป้าลดลงมาที่ 2.5-2.7% จากปีก่อนที่ 3% ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น ทำให้การให้สินเชี่อมีต้นทุนความเสี่ยงที่ลดลง และยังมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูง
"ปีนี้ ROE ปีนี้เราอาจลดลงจาก 14% เหลือราว9% เพราะมีผู้ถือวอแรนท์มาแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญด้วย " นายอภินันท์ กล่าว
ทั้งนี้ ปี 2566 กำไรของกลุ่มธุรกิจฯ ปรับลดลงจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ลูกค้าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและภาวะดอกเบี้ย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของราคารถยนต์ ส่วนด้านธุรกิจจัดการกองทุนรวม มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 และธุรกิจวาณิชธนกิจ แม้ไม่ได้นำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดแรกและตลาดรอง แต่ก็ได้ให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินบริษัทใหญ่ อย่างเช่น เอสโซ่ และยังเป็นตัวแทนผู้รับประกันการจัดหน่ายหุ้นกู้ด้วย จึงทำให้รายได้ในส่วนวาณิชธนกิจยังเติบโตได้ในปีที่แล้ว
"ในปี 2567 จะมุ่งยกระดับการให้บริการให้ทัดเทียมสากล เพื่อสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม ที่เป็นการใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพและมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ”นายอภินันท์กล่าว
นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า“สำหรับผลประกอบการของธนาคารในปี 2566 กำไรปรับลดลงจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ลูกค้าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและภาวะดอกเบี้ยประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของราคารถยนต์ ดังนั้น การดำเนินการของธนาคารจึงมุ่งเน้นการจัดการและบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น พร้อมกับขยายสัดส่วนตลาดที่เครดิตมีคุณภาพดีผ่านสินเชื่อรถแลกเงิน”
นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2566 ว่า “กลุ่มธุรกิจฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 5,443 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28.4 และมีกำไรเบ็ดเสร็จ 5,452 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 1,078 ล้านบาทและเป็นกำไรเบ็ดเสร็จของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 1,119 ล้านบาท ในส่วนของการตั้งสำรองสำหรับปี 2566 ได้มีการพิจารณาตั้งสำรองส่วนเพิ่มเป็นจำนวนประมาณ 600 ล้านบาท ตามหลักความระมัดระวังสำหรับสินเชื่อขนาดใหญ่รายหนึ่ง ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ สิ้นปี 2566 อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 164.6
นอกจากนี้ ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 22,294 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 6,469 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 23.5 จากปี 2565 และธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio)คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 16.2 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 จะเท่ากับร้อยละ 12.8”