Market

InnovestX คาด SET มีการฟื้นตัวจำกัด สัญญาณยังอ่อนแรง
13 ม.ค. 2568

 

แนวโน้มตลาดวันนี้ (13 ม.ค.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด สร้างความกังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย โดย Bond Yield สหรัฐฯ ปรับขึ้น เช่นเดียวกับดอลลาร์แข็งค่า มองเป็นปัจจัยกดดันดัชนี โดยมีแนวรับที่ 1360 และ 1350 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวยังถูกจำกัดบริเวณแนวต้าน 1375-1380 จุด

 

ประเด็นสำคัญ

• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ธ.ค. 2567 อยู่ที่51.6 คงอยู่ในช่วงเชื่อมั่นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน สะท้อนประชาชนมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจ จากการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง  

 

• สมาคมโรงแรมไทยเผยอัตราจองห้องพักในช่วงตรุษจีนของโรงแรมในเมืองหลัก เช่น กทม. เชียงใหม่ ภูเก็ต จะอยู่ที่ 70% ส่วนพัทยาคาดจะอยู่ที่ 80% ซึ่งเป็นผลจากมาตรการยกเว้นวีซ่า ด้านนายกรัฐมนตรีสั่งกระทรวงดีอีติดตามข่าวปั่นทำลายภาพลักษณ์เมืองไทย

 

• สมาคมตราสารหนี้เตรียมออกเกณฑ์ใหม่คุมออกหุ้นกู้ไฮยีลด์หวังสกัดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ เพื่อเร่งฟื้นคืนความเชื่อมั่น-ปกป้องผลประโยชน์นักลงทุน

 

• IMF เตือนเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรการภาษีศุลกากร-เงินได้ และการยกเลิกกฎระเบียบ-ปรับประสิทธิภาพ

 

• สหรัฐฯ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. 2568ปรับลงสู่ 73.2 ต่ำกว่าตลาดคาด และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ธ.ค. 2567 เพิ่มขึ้น 2.56 แสนตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาด  ทำให้เฟดอาจต้องดำเนินมาตรการที่ระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้

 

• กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันรัสเซีย เช่น Gazprom Neft, Surgutneftegas และเรือบรรทุกน้ำมันกว่า 180 ลำ เพื่อตอบโต้รัสเซียที่ใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารโจมตียูเครน

 

• ธนาคารกลางจีน (PBOC) ออกแถลงจะระงับซื้อพันธบัตรรัฐบาลในวันที่ 10 ม.ค. โดยอ้างว่าเกิดความขาดแคลนพันธบัตรในตลาดและตลาดคาดว่าทำไปเพื่อปกป้องค่าเงินหยวนที่กำลังอ่อนค่าลง

 

กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวโดยมีแนวต้านที่บริเวณ 1400 จุด แม้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแย่กว่าภูมิภาคจากความกังวลเสถียรภาพการเมืองและ ESG ของบจ. รวมทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการส่งออกรถยนต์ที่คาดอ่อนแอลง แต่ยังมีความคาดหวังต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดค่าครองชีพในประเทศเพิ่มเติม รวมถึงการเริ่มต้นของมาตรการ Easy E-Receipt ตั้งแต่ 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 จะช่วยกระตุ้นงบ 1Q68 ด้านปัจจัยต่างประเทศ ตลาดคาด GDP 4Q67 ของจีนจะเพิ่มขึ้น 5%YoY และเงินเฟ้อ ธ.ค. 2567 ของสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น 2.9%YoY ทั้งนี้มองแนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและการลดดอกเบี้ยของเฟดจะยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม อาจจะไม่กดดันลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

 

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

ช่วงสั้นมอง SET  มีโอกาสฟื้น แต่ Upside จำกัด โดยรอการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้

 

1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการ Easy E-Receipt ช่วงวันที่ 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 และเงินหมื่นเฟส 2 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT)

 

2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ต แนะนำ AP KTB BBL PTT

 

3. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก OSP  AMATA AU TIDLOR BCP 

 

4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรใน 1) หุ้นที่ได้ Sentiment บวกหากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น แผนดึงเม็ดเงินลงทุน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน Entertainment Complex และลดค่าครองชีพ-เพิ่มกำลังซื้อ แนะนำ กลุ่มนิคมฯ (WHA AMATA) กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CRC) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT AWC) และ 2) หุ้นที่ราคา Laggard (เทรด PER 68F ต่ำกว่า -1SD) แต่ผลการดำเนินงานยังมีแนวโน้มเติบโตดี แนะนำ BTG BEM BDMS

 

Daily top picks

CPALL: 4Q67 คาดจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากเข้าสู่ High Season และยอดขายสาขาเดิมยังเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งมาร์จิ้นยังกว้างขึ้นต่อเนื่องจากกมียอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มเติมของรัฐบาลและการปรับลดดอกเบี้ยจะเพิ่ม Upside ให้กับประมาณการ

 

PTTEP: ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นแข็งแกร่งในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น และยังเป็นหุ้นที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีกังวลความไม่สงบในตะวันออกกลาง ขณะที่ผลการดำเนินงานและงบดุลของบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 7.7 หมื่นลบ. และมีหนี้สินต่อทุนสุทธิน้อยกว่า 0.3 เท่า ทั้งนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 126 บาท

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com