แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (23 ก.พ.) บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET คาดมีการชะลอตัวสลับบ้าง เพื่อลดความร้อนแรงจากภาวะ overbought ในระยะสั้น ทำให้ในระยะสั้นมี upside จำกัด บริเวณแนวต้าน 1410 และ 1415 จุด ตามลำดับ. อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมยังมีสัญญาณที่ดี ทำให้การชะลอตัวมีแนวรับบริเวณ 1395 และ 1390 จุด ตามลำดับ เป็นจุดรองรับ หากไม่ต่ำกว่า ยังเป็นสัญญาณที่ดี
ประเด็นสำคัญ
• ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วของสหรัฐลดลง 1.2 หมื่นราย สู่2.01 แสนราย ต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ขณะที่ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและการบริการเบื้องต้น ก.พ. ลดลงต่ำสุดในรอบ 2 เดือน
• EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าที่ตลาดคาด
• กลุ่มฮูตีประกาศยกระดับโจมตีเรือสินค้าด้วยการใช้อาวุธใต้น้ำ โดยจะโจมตีเรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล สหรัฐ และอังกฤษ ขณะที่ UNCTAD ระบุปริมาณการเดินเรือขนส่งสินค้ารายสัปดาห์ผ่านทางคลองสุเอซลดลง 67% เทียบกับระดับที่มีการสัญจรหนาแน่นสุด ผลกระทบจากการโจมตีของกลุ่มฮูตีในทะเลแดง
• ส.อ.ท. รายงานยอดขายรถยนต์ใน ปท. ม.ค. 67 ลดลง 16.42% โดยยอดขายรถกระบะอยู่ที่ 14,864 คัน ลดลงถึง 43.47% หลังสถาบันการเงินเข้มงวดอนุมัติสินเชื่อส่วน EV เพิ่มขึ้น 238% ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป ม.ค. 67 อยู่ที่ 86,716 คันลดลง 0.08% เพราะเรือมีพื้นที่ไม่เพียงพอจึงส่งออกลดลง โดยยังคงเป้าผลิตรถยนต์ปี2567 อยู่ที่ 1.9 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 3.17%YoY
• รัฐบาลอินเดียได้ขอให้รัฐบาลไทยขยายเวลาการยกเว้นการยื่นวีซ่า ที่จะสิ้นสุดในวันที่10 พ.ค.นี้ ออกไปอีก 2 ปี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอินเดีย
• ตลท. เห็นชอบมาตรการกำกับดูแลการขายชอร์ต และการใช้โปรแกรม เทรดดิ้ง และเพิ่มการเปิดเผยข้อมูลแก่สาธารณชน
กลยุทธลงทุน ช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยยังแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ เนื่องจากไร้ปัจจัยหนุนใหม่ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังอยู่ระหว่างรอดูผลประกอบการ 4Q66 ของ บจ. ไทยที่จะทยอยออกมาซึ่งคาดยังมีแนวโน้มอ่อนแอ นอกจากนั้นตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่กำลังจะทยอยออกมามองตลาดรับรู้ไปแล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ“Selective Buy”
Top Pucks
CPALL 4Q66 คาดกำไรปกติที่ 4.8 พันลบ. เติบโต 59%YoY ดีสุดในกลุ่มพาณิชย์หนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นธุรกิจ CVS ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายโบนัสที่ลดลงจากฐานสูงปีก่อนและส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก CPAXT (ดอกเบี้ยจ่ายลดหลังรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จ) คาดกำไรปกติปี 2566 เติบโตสูง 36%YoY
KTB คาดกำไรปี 2567 โต 12%YoY หนุนจาก Credit cost ลดลงจากการตั้งสำรองmanagement overlay น้อยลง และการเติบโตสินเชื่อฟื้นตัว อีกทั้ง NIM เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ Valuation ยังถูก และมี Div. Yield ที่ดี คาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 66 ที่ 0.92 บ./หุ้น คิดเป็น Div. Yield 5.5%