บล.ทิสโก้ชี้ระยะสั้นหุ้นไทยยังคงถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองทั้งคดียุบพรรคก้าวไกล และคดีนายกเศรษฐา แต่คาดดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น การคุ้มเข้มขายชอร์ต และการส่งเสริมการออมการลงทุน หนุนหุ้นไทยสิ้นปีแตะ 1,500 จุด
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกยังเคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลงราว -8% ขณะที่ดัชนี MSCI World ปรับตัวขึ้น +10% เพราะหุ้นไทยถูกกดดันจากงบประมาณปี 2567 มีความล่าช้าถึง 7 เดือน ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ และคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ไทยถูกหั่นลงมาต่อเนื่อง สวนทางประเทศอื่น ๆ ในตลาดเกิดใหม่ที่ส่วนใหญ่ GDP เริ่มมีแนวโน้มปรับขึ้น
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของปัจจัยการเมืองในประเทศ ยิ่งซ้ำเติมความเชื่อมั่นนักลงทุนให้แย่ลงอีก โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ปีนี้ขายสุทธิหุ้นไทยแล้วมากกว่า 1.1 แสนล้านบาท ขณะที่ภาพทางเทคนิคยังคงเป็นแนวโน้มการแกว่งซิกแซกในกรอบขาลงต่อไปตราบใดที่ SET Index ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมายืนระดับ 1,330 จุดและ 1,350 จุดตามลำดับ
ด้วยคดียุบพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาใหม่ในวันที่ 3 กรกฎาคมและกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 กรกฎาคม ส่วนคดีนายกฯ เศรษฐา ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ส่งหลักฐานเพิ่มและนัดพิจารณาใหม่ในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ ดังนั้น หากไม่มีการไต่สวนหรือเรียกหลักฐานเพิ่มเติมอีก ทั้ง 2 คดีคาดจะมีความชัดเจนเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมเป็นอย่างเร็วที่สุด แต่หากมีการไต่สวนหรือเรียกหลักฐานเพิ่มเติมอีก ก็ต้องใช้เวลาที่นานขึ้น ซึ่งจะเป็นเรื่องที่กดดันตลาดค้างคากันต่อไป
บล.ทิสโก้ยังคงมุมมองเดิม คือ ความไม่แน่นอนของคดีนายกฯ เศรษฐา เป็นคดีที่มีน้ำหนักกดดันตลาดมากที่สุด เพราะในกรณีแย่ที่คำวินิจัยฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้นายกฯ เศรษฐาพ้นตำแหน่ง จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ นอกจากจะทำให้การทำงานของรัฐบาลเกิดสะดุดแล้ว ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลใหม่อีกด้วย ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติและภาวะเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยสรุป ตลาดหุ้นไทยอาจยังไม่สามารถแกว่งตัวไปไหนได้ไกล โดยโอกาสปรับขึ้น (Upside) ตลาดระยะสั้นยังถูกจำกัดจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่ไม่แน่นอน และภาพทางเทคนิค SET Index ยังเป็นแนวโน้มแกว่งซิกแซกในกรอบขาลง แต่ในขณะเดียวกันโอกาสขาลง (Downside) ตลาดก็อาจจะไม่มาก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดอื่น (Laggard) อยู่แล้ว และระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (12m Fwd. PER) อยู่เพียง 13.4 เท่า อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (PBV) อยู่ที่ 1.2 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3.5% หากมีความชัดเจนทางการเมืองโดยเฉพาะคดีของคุณเศรษฐา ซึ่งในกรณีฐาน บล.ทิสโก้เชื่อว่านายกฯ เศรษฐายังคงในตำแหน่งต่อไป คาดจะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้น บล.ทิสโก้ยังคงเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในครึ่งปีหลังตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นจากการใช้จ่ายด้านการคลังหลังงบประมาณปี 2024 ที่ล่าช้าก่อนหน้านี้เร่งเบิกจ่ายต่อเนื่อง และการทยอยออกมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ผสานกับมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ทั้งการคุมเข้มการขายชอร์ต เช่น มาตรการ Uptick และการส่งเสริมการออมการลงทุน โดยปรับเงื่อนไข TESG ให้จูงใจนักลงทุนมากขึ้น คาดจะเป็นผลดีต่อตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง บล.ทิสโก้ยังคงเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1,500 จุด (อิงจาก Fwd. PER ที่ 16.6 เท่า และ SET EPS ปีหน้าที่ 90.5 บาท)
หุ้นเด่นในเดือนกรกฎาคม บล.ทิสโก้ให้ความสำคัญกับหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป้าหมายการลงทุนของ TESG เด่น AOT, BDMS, CPALL, PTT ผสานกับหุ้นที่คาดงบไตรมาส 2/2567 จะออกมาดี และหุ้นที่มีโอกาสถูกซื้อคืน (Short Covering) หลังมีมาตรการคุมเข้มการขายชอร์ต แนะนำ AAI, AWC, CBG, CPF เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นของบล.ทิสโก้ในเดือนนี้. คือ AAI, AOT, AWC, BDMS, CBG, CPALL, CPF และ PTT ด้านแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,300, 1,280 และ 1,250 จุด ตามลำดับ และแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,330 จุดและ 1,350-1,360 จุด ตามลำดับ