“ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล” เปิดงบไตรมาส 1/67 รายได้รวมอยู่ที่ 195.91 ล้านบาท เติบโต 6% หนุนกำไรขั้นต้นแตะ 54.94 ล้านบาท เติบโต 9% ปักธงแผนธุรกิจปี 67 เคาะรายได้ 930 ล้านบาท โตเกิน20% พร้อมเดินหน้าลุย JV กับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง หนุนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ FTI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/67 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 195.91 ล้านบาท เติบโต 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 185.19 ล้านบาท เนื่องจากการขยายตัวแทนจำหน่าย Aquatek เพิ่มมากขึ้น ตามอุตสาหกรรมมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินค้าในเชิงพาณิชย์และกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลบวกจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 54.94 ล้านบาท เติบโต 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 50.40 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.67 ล้านบาท
ขณะที่แผนธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ วางกลยุทธ์ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง อาทิเครื่องกรองน้ำ ชุดกรองน้ำ ระบบผลิตน้ำอ่อน ชุดกรองน้ำที่สามารถใช้คู่กับฝักบัวอาบน้ำ ระบบบริหารจัดการน้ำอุตสาหกรรม เป็นต้น รวมถึงการลดต้นทุนการผลิตจากการปรับปรุงกระบวนการจัดการภายใน และการต่อรองซัพพลายเออร์ในการสั่งซื้อสินค้า ประกอบกับในขณะนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ วางแผนขยายตลาดด้วยการเปิดสาขา Water Store เพิ่มเป็น 24 สาขา จากในปัจจุบันที่มีสาขา Water Store อยู่ที่ 22 สาขา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าขายส่งเพื่อผู้ประกอบอาชีพระบบกรองน้ำ และขยายสาขา Aquatek Shops เพิ่มอีก 21 สาขาเป็น 30 สาขา จากในปัจจุบันที่มีสาขา 9 สาขา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าขายส่งเพื่อผู้ประกอบอาชีพระบบกรองน้ำ และครัวเรือนระดับ High End ที่มี Life style ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีการหาพันธมิตรใหม่ๆเพิ่มอีก 2 – 3 ราย เพื่อเข้ามาทำกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ ประกอบกับในปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาการลงทุนกับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง Water Treatment ในประเทศอิตาลี และอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัท ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประเทศจีน โดยหากในอนาคตการเจรจาประสบความสำเร็จ ทำให้ดีลดังกล่าวจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง
“ในปีนี้เราตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายไม่น้อยกว่า 20% หรือ 930 ล้านบาท ซึ่งถ้ามองจากแผนธุรกิจที่กล่าวไปในข้างต้น จะเห็นว่าบริษัทฯ วางแผนการเติบโตอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการหาพันธมิตรใหม่ๆ หรือการขยายสาขา แต่อย่างไรก็ตามในทุกการลงทุนหรือ Joint Venture เราก็ระมัดระวังอย่างมาก หลังจากยังมีปัจจัยภายนอกที่ต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้สร้างผลกระทบต่อการขยายธุรกิจ เช่น ต้นทุนสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น หรือความผันผวนของค่าเงินบาท และคู่แข่งทางการค้า ทำให้บริษัทวางแผนเพื่อรับมือ และควบคุมปัจจัยภายนอกเป็นอย่างดี รวมถึงปรับปรุงขบวนการทำงานภายในอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุนทุกท่าน และสร้างยอดขายให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้”ดร.วิกร กล่าว