“บมจ. มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MGI” พร้อมลั่นระฆังเทรดตลาดหลักทรัพย์ mai 14 ธ.ค.นี้ หลังปิดจอง IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น หมดเกลี้ยง “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” ซีอีโอ MGI ขอขอบคุณผู้ลงทุนที่เชื่อมั่น พร้อมต่อยอดความสำเร็จสู่แบรนด์ก้องโลก ด้าน FA ชี้ MGI ในวันนี้ไม่ได้มีแค่ธุรกิจนางงาม แต่เป็นหนึ่งในสถาบันที่มีความครบวงจร ที่พร้อมจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI กล่าวว่า ผมต้องขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ไว้วางใจหุ้นน้องใหม่ MGI ทำให้การเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่เปิดจองซื้อ และได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไปได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความสำเร็จของ MGI ด้วยวิสัยทัศน์ขององค์กร มุ่งมั่นก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมนางงามโลก โดยส่งมอบประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับทุกคนบนโลกผ่านความงาม ความบันเทิง และการค้า ซึ่งสอดคล้องกับสโลแกนของบริษัท “นับจากนี้ทุกพื้นที่มีแต่แกรนด์ - We Are Grand The One and Only”
ด้วยความแข็งแกร่งของ MGI ซึ่งจะเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยและในตลาดโลกที่นำเวทีนางงามเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ แต่นางงามไม่ใช่จุดยืนเดียวของบริษัท แต่เป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจมากมาย โดยธุรกิจการประกวดนางงามเป็นเพียง 1 ใน 4 กิจกรรมที่ทำรายได้ให้ MGI และเป็นบริษัทแรกที่มีเครือข่าย 77 เวที 77 จังหวัดในประเทศไทย พร้อมด้วยการขายลิขสิทธิ์ไปยังต่างประเทศอีกราว 90 ประเทศทั่วโลก ธุรกิจนางงามจึงสามารถสร้างรายได้และโอกาสมหาศาลในการต่อยอดไปสู่ธุรกิจพาณิชย์ (commerce) การจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ และนำเสนอจากศิลปินที่มีชื่อเสียงของเราเอง ทำให้สามารถบริหารต้นทุนได้ในระดับต่ำ แต่สร้างกำไรได้ค่อนข้างสูง และการต่อยอดมายังธุรกิจด้านเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งสิ่งที่เราทำบนพื้นฐานของความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ คุณภาพ และคำนึงถึงความสุขของทุกคน
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้งวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มาจากธุรกิจพาณิชย์ 40.86%, ธุรกิจประกวดนางงามมิสแกรนด์ 12.63%, ธุรกิจสื่อและบันเทิง 19.06%, ธุรกิจบริหารจัดการศิลปิน 23.12%, รายได้ค่าเช่าช่วง MGI Hall 3.51% และรายได้อื่น 0.82% โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นธุรกิจพาณิชย์ซึ่งมีการเติบโตสูง
นายธวัทชัย แพร่แสงเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI เปิดเผยว่า หลังจากเปิดขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม และ 6-7 ธันวาคม 2566 ผลปรากฏว่า หุ้นน้องใหม่ MGI ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมากตั้งแต่วันแรกที่เปิดจองซื้อ
แสดงถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของ MGI ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง สอดคล้องกับกระแสความสนใจหุ้นของ MGI ภายหลังนำเสนอข้อมูล (Roadshow) ให้กับนักลงทุน และคาดว่า MGI จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 14 ธันวาคม 2566 ในหมวดธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
โดยแผนการใช้เงินภายหลังจากการระดมทุนครั้งนี้ MGI จะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการต่อยอดการเติบโตของธุรกิจอย่างโดดเด่น โดยจะนำไปใช้ลงทุนปรับปรุงตกแต่งอาคารรองรับการขยายงาน จำนวนเงินที่ใช้ประมาณ 40 ล้านบาท ลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้า และผลิตรายการ เพื่อเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ในอีกหลากหลายช่องทาง จำนวนเงินที่ใช้ประมาณ 50 ล้านบาท นำไปลงทุนพัฒนาขีดความสามารถของระบบสารสนเทศ จำนวนที่ใช้ราว 20 ล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จะยิ่งช่วยเสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ MGI เป็นอีกหุ้นคุณภาพ ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI กล่าวว่า จุดเด่นของ MGI มีความแข็งแกร่งจากผู้บริหารเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเวที MGI และ MGT จนเป็น 1 ใน 5 เวทีประกวด Grand Slam ระดับโลก และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ มีความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในธุรกิจประกวดนางงาม ทั้งนี้ จากการที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ MGI และ MGT จึงสามารถสร้างรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ รวมถึงต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น ประกอบด้วยธุรกิจนางงาม ธุรกิจพาณิชย์ ธุรกิจสื่อและบันเทิง และบริหารศิลปิน สร้าง Synergy การเติบโตไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการพัฒนาขีดความสามารถของระบบสารสนเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์การสั่งซื้อสินค้าและบริการของกลุ่มฐานลูกค้าเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการตลาดให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี และรวดเร็วที่สุด
อย่างไรก็ดี MGI มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องกระแสเงินสดค่อนข้างสูง ใช้แหล่งเงินทุนจากส่วนของเจ้าของทั้งหมด ไม่มีภาระเงินกู้จากสถาบันการเงิน และมีอัตรา D/E ในระดับต่ำเพียง 0.77 เท่า สำหรับผลการดำเนินงานของ MGI ในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 319.86 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 47.85 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 428.93 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 77.13 ล้านบาท เทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้รวม 218.68 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 36.58 ล้านบาท การกำหนดราคาไอพีโอ ที่ 4.95 บาท ถือเป็นการกำหนดราคาที่เหมาะสม