แนวโน้มตลาดวันนี้ (17 เม.ย.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ปรับตัวลง โดยดัชนีได้รับปัจจัยกดดันจากภายนอก ทั้งปัญหาความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงในช่วงหยุดสงกรานต์ และถ้อยแถลงประธานเฟดที่ส่งสัญญาณจำเป็นต้องคงดอกเบี้ยระดับสูงไว้ ด้านแนวรับอยู่ที่ 1390 และ 1380 จุดหากต่ำกว่าเป็นสัญญาณลบ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1405-1410 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ปธ. Fed ส่งสัญญาณว่า Fed อาจตรึง ดบ. ที่ระดับสูงนานกว่าที่คาด หลังข้อมูล ศก. และตลาดแรงงานยังขยายตัว ส่วนเงินเฟ้อแม้ชะลอลงแต่ยังไม่มากพอที่จะทำให้ Fed มั่นใจว่าเงินเฟ้อจะปรับลงสู่เป้าหมาย 2%
• PBOC อัดฉีดเงิน 2 พันล้านหยวนผ่าน reverse repo อายุ 7 วัน ที่ ดบ. 1.8% อีกทั้งอัดฉีดเงิน 1 แสนล้านหยวนเข้าสู่ระบบธนาคาร ผ่านโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ที่ดบ. 2.5%
• จีนรายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรม มี.ค. ปรับขึ้น 4.5%YoY และยอดค้าปลีกมี.ค.ปรับขึ้น 3.1%YoY ต่ำกว่าตลาดคาด ขณะที่ราคาบ้านใหม่ มี.ค. ลดลง 2.2%YoY ปรับลงรุนแรงสุดในรอบกว่า 8 ปี ตั้งแต่ ส.ค. 58
• ราคาทองโลกปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดทุกวันในช่วงสงกรานต์ ท่ามกลางความเสี่ยงสุดตึงเครียดใน ตอ. กลาง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำ เม.ย. 67 อยู่ที่ 70.46 เพิ่มขึ้น 1.56%MoM จากบาทอ่อนค่า แรงซื้อเก็งกำไร ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
• Tesla เตรียมเลิกจ้างพนักงานกว่า 10% ทั่วโลก มีเป้าหมายลดต้นทุนหลังยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้า
• สรท. คาดส่งออกไทยครึ่งปีหลังยังต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกเติบโตในกรอบแคบ จับตาสงคราม ตอ. กลางกระทบส่งออก 3Q67 แต่คาดปีนี้ยังขยายตัวได้ตามเป้า1-2%
• กกร. คาด ศก. ไทยยังมีความเสี่ยง ด้วยข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง คงคาดการณ์ปีนี้โตต่ำ 2.8-3.3% ระบุภาครัฐควรกระตุ้นด้วยนโยบายการคลัง-การเงิน ปรับลด ดบ. หรือค่าธรรมเนียม FIDF
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยจะผันผวนเชิงลบ จากกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทำให้ราคาพลังงานและเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ามากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นที่สามารถลดความผันผวนและเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นกับการตอบโต้ของอิสราเอลว่าจะออกมาในรูปแบบใด และจะนำไปสู่สงครามระหว่างอิหร่านอย่างเต็มรูปแบบหรือไม่โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP ซึ่งคาดจะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และหุ้นโรงกลั่นจะได้ผลบวกผ่านกำไรสต๊อกที่เพิ่มขึ้นเชิงพื้นฐานชอบ BCP ส่วน TOP สำหรับการ Trading (ทั้งนี้หากสถานการณ์ลุกลามไปสู่การสู้รบอย่างเต็มรูปแบบอาจหนุนราคาน้ำมันเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระยะสั้น เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานของอิหร่านที่คิดเป็น 3-4% ของอุปทานโลก และในกรณีเลวร้ายกระทบการส่งออกน้ำมันผ่านช่องแคบHormuz อาจกระทบการส่งออกได้สูงสุดถึงกว่า 17% ของอุปทานโลก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม)
2) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) ซึ่งพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ เลือก หุ้นการแพทย์ (BDMS BCH) หุ้นขนส่งทางบก (BEM) หุ้นค้าปลีก (CPALL CPAXT) หุ้นสื่อสาร (ADVANC)
3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการแจกเงินดิจิทัล เลือกCPALL CPAXT BJC HTC SNNP
4) หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่จะดีขึ้นตามผลฤดูกาล เลือก AOT ERW MINT CPALL
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับลงทดสอบบริเวณ 1380 จุดโดยแม้มีปัจจัยบวกในประเทศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ แต่คาดสถานการณ์ตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง หลังอิหร่านปฏิบัติการโจมตีตอบโต้อิสราเอล จะกดดันต่อการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยหากสถานการณ์ยืดเยื้อและขยายวงกว้างจะทำให้มีความเสี่ยงที่ราคาพลังงานและเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งมีโอกาสที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ามากขึ้น กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
Top Picks
PTTEP มองเป็นหุ้นที่สามารถลดความผันผวนและป้องกันความเสี่ยงจากกรณีกังวลสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง อีกทั้งการเพิ่มของราคาน้ำมันในระยะสั้นยังเป็นโอกาส trading สำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สูง ประเมินราคาน้ำมันระยะยาวที่ปรับเพิ่มทุก US$1/bbl เป็นบวกต่อราคาเป้าหมาย 5 บ./หุ้น
BCH เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มการแพทย์ในฐานะ earnings play เนื่องจากกำไรปกติจะเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 20%YoY ในปี 2567 แรงหนุนจากรายได้ที่สูงขึ้นและมาร์จิ้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยเทรดที่ PER 67F ระดับ 30 เท่า หรือ -1SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต