Market

บ้านปู ลั่นปี 4 ธุรกิจเติบโต ดันรายได้ดีกว่าปีก่อน ลุ้นพลิกทำกำไร ตั้งงบลงทุน 500 ล้านดอลลาร์ เน้นให้ผลตอบแทนสูง
5 มี.ค. 2568

บ้านปู มั่นใจปีนี้แผนรุก  4 ธุรกิจเติบโต หนุนรายได้ดีกว่าปีก่อน มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจมั่นคง   ‘เพิ่มกระแสเงินสด บริหารโครงสร้างเงินทุน บริหารพอร์ตโฟลิโอ และรักษาวินัยการเงิน ’ พร้อมรับมือเทรนด์โลก

 

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย  กล่าวว่า แนวโน้มผลดำเนินงานของบริษัทในปี 68 นี้ คาดจะทำรายได้ดีกว่าปีที่แล้ว มาจากการ้ติบโตของทุกธุรกิจ การรักษามาร์จิ้นให้อยู่ระดับเดิม ราคาพลังงานที่เป็นขาขึ้น และแผนดำเนินงานที่ควบคุมต้นทุนทางการเงิน (operation cost)  ทำให้คาดจะทำให้มีกำไร พลิกจากปีที่แล้ว ขาดทุนสุทธิ 23 ล้านเหรีญสหรัฐ หรือ  662 ล้านบาท  ส่วนแผนการลงทุนตั้งงบไว้ที่ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเป็นงบลงทุนในธุรกิจก๊าซและไฟฟ้า สัดส่วน 60% และพลังงานหมุนเวียน 20% ที่เหลือเป็นธุรกิจเหมืองแร่ ซึ่งปีนี้ยังมองหาโอกาสการลงทุนเหมืองแร่แห่งใหม่ๆ อย่างร่นิกเกิลในอินโดนีเซียที่ใชิสำหรับพลังงานสะอาด ซึ่งราคานิกเกิลปรับตัวลดลงแล้ว จึงเป็นโอกาสลงทุน

 

 “แนวโน้มผลดำเนินงานในปีนี้ sentiment ดูน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ทั้ง operation กำลังการผลิต มาร์จิ้น ทุกตัวในพอร์ตมีอัพไซด์เติบโต พอร์ตของเรากระจายความเสี่ยงค่อนข้างดี และทั้งเหมืองแร่ในอินโดนีเซียและโรงไฟฟ้าในสหรัฐ ก็อยู่ในเมกะเทรนด์ถูกที่ถูกทางมาก  เราประเมินกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อทิศทางด้านพลังงานของโลกอย่างรอบด้าน รวมถึงนโยบายและแผนพลังงานในประเทศยุทธศาสตร์ ในปีนี้เรามุ่งเน้นการจัดสรรเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและการปรับโครงสร้างอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอย่างสมดุลที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน เราเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ Energy Symphonics จะทำให้บ้านปูเป็นบริษัทพลังงานที่แตกต่างที่เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ ไปพร้อม ๆ กับการสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน” 

 

บริษัทฯ  มุ่งกลยุทธ์ Energy Symphonics ดำเนินธุรกิจ 4 แนวทาง  ประกอบด้วย 1.การดำเนินงานและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดและมูลค่าของธุรกิจ เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI และการลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง 2.การบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรักษาระดับหนี้และทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับการเติบโตและผลประกอบการที่ดี 3.การบริหารพอร์ตโฟลิโอเชิงกลยุทธ์ โดยเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่จะมาสร้างคุณค่าให้บริษัทฯ ในระยะยาว เช่น การสร้างการเติบโตของธุรกิจที่ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าของก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และ 4.การบริหารจัดสรรเงินทุนอย่างมีวินัย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น 

 

นอกจาก 4 แนวทางข้างต้น ในปี 2568 แต่ละธุรกิจเรือธงของบริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินตามแผน โดยธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะสร้างการเติบโตเชิงกลยุทธ์ทั้งธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำ โดยจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ราคาก๊าซ ด้านธุรกิจเหมือง ในปีนี้  ธุรกิจเหมืองแร่ถ่านหินจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นทั้งอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ส่วนจีนยังทรงตัว โดยคาดว่ายอดขายถ่านหินปีนี้จะอยู่ 45 ล้านตัน และได้ตั้งเป้าลดต้นทุนถ่านหินให้ได้ 1.5 เหรียญสหรัฐต่อตัน ผ่านการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาปรับใช้ ส่วนแนวโน้มไตรมาส 1/68 ถ่านหินยังมีราคาลดลง จากสต๊อกถ่านหิน แต่คาดว่าราคาจะดีขึ้นในไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป

 

อย่างไรก็ตาม จะมุ่งผสาน AI และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดคาร์บอนผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบการจัดการอัจฉริยะ ในขณะที่ธุรกิจไฟฟ้า ตั้งเป้าลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะในประเทศยุทธศาสตร์ และธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงาน เน้นลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะเสริมการทำงานระหว่างระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อสนับสนุนให้พลังงานหมุนเวียนมีความต่อเนื่องยิ่งขึ้น 

 

สำหรับผลประกอบการปี 2567 บริษัทฯ รายงานรายได้จากการขายรวม 5,148 ล้านเหรียญสหรัฐ  (**ประมาณ 181,549 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 1,330 ล้านเหรียญสหรัฐ (**ประมาณ 46,970 ล้านบาท) กำไรจากการดำเนินงาน 83.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (**ประมาณ 2,964 ล้านบาท) และผลขาดทุนสุทธิ 23.67 ล้านเหรียญสหรัฐ (**ประมาณ 682.42 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลกระทบจากการด้อยค่าเงินลงทุนจากการขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น และการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญในปีที่ผ่านมา ได้แก่ การเสนอขายหุ้น IPO ของ BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปูในสหรัฐฯ ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) การขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น การได้รับเงินสนับสนุน (Subsidy) จากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ในการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มแห่งใหม่ 2 โครงการ ในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์ชั่วโมง ที่คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2/2571 และการพัฒนาโครงการ CCUS ของ BKV ที่ชื่อว่าโครงการ Eagle Ford (อีเกิ้ล ฟอร์ด) ซึ่งคาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 90,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ในไตรมาส 1/2569

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com