บล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ผู้นำด้านการลงทุน ซึ่งถือหุ้นโดย เมย์แบงก์ ธนาคารอันดับ 1 ของมาเลเซีย ได้แนะนำหุ้นเด่น 3 ธีมหลักสำหรับการลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 จากการวิเคราะห์พบว่าปัจจัยหนุนต่าง ๆ เริ่มส่งผลดีต่อตลาด โดยแม้จะมีสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่แน่นอนและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรุนแรง แต่นักวิเคราะห์ของเมย์แบงก์ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อดัชนีหุ้นไทย (SET) โดยเชื่อว่าการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงโมเมนตัมของกำไรตามที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า โดย เมย์แบงก์ได้นำเสนอหุ้นใน 3 ธีมหลักสำหรับการลงทุน ได้แก่ เน้นหุ้นโครงสร้างพื้นฐานรอรับอานิสงส์จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว และหุ้นกลุ่มอัตรากำไรเพิ่มขึ้น
หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน: TASCO, SCCC, CK
TASCO: ได้รับประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยคาดว่าปริมาณยางมะตอยจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าและอัตรากำไรของยางมะตอยซีเมนต์เพิ่มขึ้นเป็น 12,000 บาทต่อตัน ในขณะที่ SCCC คาดว่าราคาปูนซีเมนต์จะสูงขึ้นและความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากโครงการก่อสร้าง และ CK อาจจะมี Backlog เพิ่มขึ้นสองเท่าหากสามารถเซ็นสัญญาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว: AOT, CENTEL, BH
AOT ได้รับประโยชน์จากคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 36-41 ล้านคนในปี 2567-2568 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นรายได้ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ในขณะที่ CENTELน่าจะมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากโรงแรมในญี่ปุ่นและการท่องเที่ยวในประเทศไทย และคาดการณ์ว่า BH จะมีกำไรเติบโต 15% ในปี 2567 จากการเพิ่มจำนวนเตียงและการปรับราคา รวมถึงการทำ MOU ด้านการรักษาพยาบาลกับซาอุดิอาระเบีย
หุ้นกลุ่มอัตรากำไรเพิ่มขึ้น: GPSC, ADVANC
เมย์แบงก์คาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมจะขยายตัวขึ้นในปี 2567 นี้ (ยกเว้นกลุ่มพลังงานและยานยนต์)ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตของกำไรสุทธิโดยรวมของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ GPSC และ ADVANC ที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทรนด์นี้ โดยเราคาดว่า GPSC จะได้ประโยชน์จากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ในขณะที่ ADVANC จะได้ประโยชน์จากการปรับค่าบริการและต้นทุนด้านการตลาดที่ต่ำลง
ถึงแม้จะมีความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่เมย์แบงก์ยังมีมุมมองเป็นบวกเหตุด้วยปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และคาดว่าจะกลับมาโตแบบเร่งตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลังและการเติบโตของการท่องเที่ยว ซึ่งเราคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วยให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์กลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสสามและสี่ของปีนี้