บมจ.เน็กซ์ พอยท์ ยานยนต์ไฟฟ้ามาแรงติดจรวด! อวดผลงานไตรมาส 3 ฟาดกำไร 66.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 732% จับตาโค้งสุดท้ายโตต่อเนื่อง ดันผลงานปี 66 สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บอร์ดไฟเขียว โครงการซื้อหุ้นคืน ตั้งงบ 290 ล้านบาท ซื้อไม่เกิน 28.7 ล้านหุ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ดีเดย์ 17 พ.ย.66 ถึง 17 พ.ค.67
นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) (NEX) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 มีกำไรสุทธิ 66.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 732% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 7.95 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 1,249.51 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมกำไรขั้นต้นในงวดไตรมาส 3/2566 มีจำนวน 151.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 93.68 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ ธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในไตรมาส 3/2566 มีผลกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานจำนวน 119.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.44 ล้านบาท หรือ 64% ส่วนใหญ่มาจากการขายรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ จำนวนรวมทั้งสิ้น 1,291 คัน
ส่วนธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และระบบซอฟต์แวร์ ในไตรมาส 3/2566 มีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานจำนวน 38.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.09 ล้านบาท หรือ 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ธุรกิจให้บริการขนส่ง ในไตรมาส 3/2566 มีผลขาดทุนขั้นต้นจากการดำเนินงานจำนวน 5.79 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนจำนวน 4.63 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลง 44% เนื่องจากการบริหารจัดการภายในที่ดีขึ้น และมีการลดต้นทุนจากการดำเนินการในบางส่วน เช่น ต้นทุนจากการเดินรถ
“แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/2566 เชื่อมั่นว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่อง เพราะจะมีการส่งมอบรถเมล์ไฟฟ้าให้ BYD อีกกว่า 1,000 คัน ซึ่งในไตรมาส 3/2566 ไม่ได้มีการส่งมอบรถเมล์ไฟฟ้าเลย ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานในปี 2566 สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์”
อีกทั้ง ในช่วงที่ผ่านมามีลูกค้าจากตลาดกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ให้ความสนใจขอเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้า และคาดว่าน่าจะทยอยมีคำสั่งซื้อภายในไตรมาส 4/2566
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 290 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 28,712,871 หุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นจำนวน 1.42% ซึ่งไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจะซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2567