แนวโน้มตลาดวันนี้ (4 ก.ย.) บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET มองการปรับลงแรงของตลาดหุ้นสหรัฐ นำโดยแรงขายหุ้น Nvidia กระทบ SET เพียงช่วงสั้น เนื่องจากมองปัจจัยภายใน ยังมีแรงหนุนจากรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้ SET มีความโดดเด่น เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศอื่นๆ ด้านแนวรับอยู่ที่บริเวณ 1360 และ 1350 จุด ตามลำดับ ยังรองรับได้ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1370 และ 1375 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• ISM เผยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐส.ค. ที่ 47.2 ต่ำกว่าตลาดคาด และยังปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิต โดยหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 จากการหดตัวของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน
• จีนจะเริ่มสอบสวนการทุ่มตลาดการนำเข้าเรพซีด (Rapeseed) หรือคาโนลา (Canola) ของแคนาดา ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้น หลังจากรัฐบาลแคนาดา ได้กำหนดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV), เหล็ก และอะลูมิเนียมที่ผลิตในจีน
• เจพีมอร์แกนคาดตลาดที่อยู่อาศัยของจีนจะยังอยู่ในภาวะอ่อนแอต่อไป เนื่องจากมาตรการกระตุ้นและการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ออกมาหลายระลอกแล้วนั้น ยังไม่มากพอที่จะพยุงภาคส่วนนี้ให้ฟื้นตัวขึ้นได้
• สรท. เผยมั่นใจยอดส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ 1-2% โดยมีมูลค่าการส่งออกแตะ 10 ล้านลบ. โดยมีสัญญาณที่ดีจากการเติบโตของการนำเข้าสินค้าทุนที่จะส่งผลดีต่อการส่งออกในเดือน ส.ค.- ก.ย. แม้จะมีปัญหาเรื่องเงินบาทแข็งค่าที่คาดการณ์ว่าจะมีผลไปถึงต้นปี 68 ธปท. เผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ส.ค. 67 อยู่ในระดับ 47.1 ทรงตัวจากเดือนก่อน จากการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นด้านการผลิต และคำสั่งซื้อ แต่ด้านการจ้างงานปรับลดลง
• ครม. มีมติอนุมัติงบกลางเพื่อสำรองจ่ายสำหรับ 5 โครงการ ซึ่งรวมไปถึงการรับมืออุทกภัยและซ่อมแซมเส้นทางคมนาคม รวม 7.4 พันลบ.
• รมว. ท่องเที่ยวฯ เผยตั้งแต่ 1 ม.ค.–1 ก.ย. 67 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 23,640,205 คน และสร้างรายได้ราว 1.11 ล้านลบ. โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในสัปดาห์ก่อนลดลง 12.7%WoW หลังสิ้นสุดช่วงวันหยุดยาวในอินเดียและการเปิดภาคเรียนในจีนและเกาหลีใต้
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideway Up จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่น่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังเริ่มมีความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองไทยและการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปลาย 3Q-4Q67 บวกกับ มอง ธปท. เปิดโอกาสเตรียมลดดอกเบี้ยได้มากขึ้น รวมไปถึงกระแส Fund Flow คาดยังไหลเข้าในตลาด EM ต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินบาทและเอเชียแข็งค่าขึ้น โดยมองเม็ดเงินลงทุนจะไหลออกจากกลุ่มพลังงาน ปีโตรเคมี สื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ เข้าสู่กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก รับเหมาฯ และการแพทย์ ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยคาดดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการของสหรัฐและจีนจะชะลอตัวลง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
Top Picks
BDMS: มองเป็นหุ้นเด่นกลุ่มการแพทย์และกำไรจะแข็งแกร่งขึ้นใน 2H67 โดย 3Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโต YoY แรงหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และเติบโต QoQ จากเข้าสู่ High Season ขณะที่ทั้งปี 2567 คาดมีกําไรปกติเติบโต 13%YoY สู่ 1.6 หมื่น ลบ. อีกทั้ง valuation ยังอยู่ในระดับต่ำที่ PER 67F ระดับ 27 เท่า (-2SD) วันนี้แนะนำราคาเข้าซื้อไม่เกิน 27.50 บาท
DIF: มองได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรที่กำลังเปลี่ยนเป็นขาลง และราคาหน่วยลงทุน DIF ปรับขึ้นช้ากว่ากลุ่ม REIT ขณะที่คาดให้ Dividend Yield ปี 67 ถึง 11.5% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 8.6% อีกทั้งมองความเสี่ยงที่ TRUE (ถือ DIF อยู่ 20.6%) จะขายหน่วยลงทุน DIF ออกมาอีกอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากฐานะการเงินดีขึ้นชัดเจนหลังควบรวมกิจการ