บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ ประกาศผลงานงวดไตรมาส 1 ปี 67 รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,543 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อยเพียง 0.15% แต่กำไรโต 32% แตะ 450 ล้านบาท วางเป้าปี 2567 รายได้โตไม่ต่ำกว่า 20%
นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,543 ล้านบาท ลดลง 4 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 0.15% สาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายน้ำตาลที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28,332 ตัน หรือลดลง 26% เนื่องจากแผนการส่งออกน้ำตาลจะมีการส่งมอบในช่วงไตรมาสที่ 2 และด้วยราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 31% ประกอบกับอานิสงส์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง จึงส่งผลให้รายได้ลดลงเพียงเล็กน้อย และในทางกลับกัน บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนการขายและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีต้นทุนการขายและบริการอยู่ที่ 1,692 ล้านบาท ลดลง 271 ล้านบาท หรือลดลง 14% ซึ่งถือว่าลดลงมากกว่าโดยเปรียบเทียบกับรายได้ที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 33.46% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 22.90% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32%
“โดยภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2567 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายจากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 2.28 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 16% มีไฮไลท์ที่สำคัญ คือ ค่าความหวาน C.C.S. อยู่ที่ 13.72 C.C.S. ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 5 อันดับสูงสุดของประเทศไทย และปริมาณน้ำตาลต่อตันอ้อยสูงสุดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 120.09 กก.น้ำตาลต่ออ้อย 1 ตัน โดยปัจจัยที่ช่วยสนับสนุน คือ ราคาน้ำตาลที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะรับรู้รายได้จากการปรับตัวของระดับราคาที่สูงขึ้นในช่วงปีแรกของปีนี้ ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจยิ่งขึ้น และจากการที่ปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นราว 16% ย่อมส่งผลให้ธุรกิจต่อเนื่องมีแนวโน้มเติบโตยิ่งขึ้น จากต้นทุนปัจจัยการผลิตที่ลดต่ำลง และคาดว่าทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง จะยังมีทิศทางเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ ขอให้รอติดตามข่าวสารจากทางบริษัทต่อไป” นายอนันต์ กล่าว
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2567 นี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้เติบโตราว 20% จากปริมาณผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสามารถทำราคาน้ำตาลได้สูงขึ้นกว่าปีก่อน อีกทั้ง ยังได้ปัจจัยสนับสนุนเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทฯ ที่มีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 80% ของรายได้รวม พร้อมทั้งยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความยั่งยืนด้วยหลัก ESG ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้