ETL ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนแบบครบวงจร เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โชว์ฟอร์มเป็นหุ้นไทยตัวแรกที่ดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน เดินหน้าขยายขีดความสามารถในการให้บริการ พัฒนาระบบเทคโนโลยี ลงทุนในยานพาหนะ ลานตู้ และตู้คอนเทนเนอร์ทั้งแบบปกติและแบบควบคุมอุณหภูมิ มุ่งมั่นการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น ตอกย้ำการเป็น THE CROSS-BORDER KING
นางสาวกฤชวรรณ ซื้อเจริญชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETL เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายเป็นวันแรก (1 พฤศจิกายน 2566) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ โดยใช้ชื่อย่อ ‘ETL’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ด้วยศักยภาพของบริษัทฯ การดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง และจีน ซึ่งมีการเชื่อมต่อพรมแดนทางถนนและรางรถไฟ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนไปยังทวีปยุโรปในอนาคต คาดว่า จะช่วยสนับสนุนให้ ETL เป็นหนึ่งหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างแน่นอน
บริษัทฯ วางแผนนำเงินที่ได้จากการ IPO ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องไปขยายธุรกิจ โดยมุ่งหวังสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น เพื่อความพึงพอใจของลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน 1.) ใช้สำหรับการขยายธุรกิจจำนวน 70% เพื่อลงทุนในยานพาหนะ ได้แก่ รถลากจูงและหางพ่วงเพื่อขยายกำลังการขนส่ง, ลงทุนในตู้คอนเทนเนอร์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Reefer Container) และตู้แบบมาตรฐาน (Dry Container), ลงทุนในลานตู้คอนเทนเนอร์เพื่อจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ จอดยานพาหนะ รวมถึงซ่อมแซมและบำรุงรักษาสินทรัพย์ของกลุ่มบริษัทฯ และลงทุนระบบการบริหารจัดการการขนส่งรองรับการให้บริการที่เพิ่มมากขึ้น 2.) ชำระคืนเจ้าหนี้และเงินกู้ยืม จำนวน 20% ได้แก่ ชำระคืนเจ้าหนี้ค่าซื้อกิจการ จากการเข้าซื้อธุรกิจในปี 2564 และชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงิน และ 3.) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ จำนวน 10% รองรับการขยายตัวของบริษัทฯ
กรรมการผู้จัดการบริษัท ETL กล่าวว่า การขยายธุรกิจในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ด้วยแผนขยายงาน ได้แก่ การขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ เพื่อต่อยอดการเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าผลไม้ ยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอายุการใช้งานที่จำกัด จึงต้องการการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือ และระยะเวลาการขนส่งที่แน่นอน โดยบริษัทฯ สามารถให้บริการการขนส่งที่มีความปลอดภัย ภายใต้คุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ การเพิ่มจำนวนยานพาหนะเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ด้วยประสบการณ์และฐานลูกค้าที่มีในมือ รวมถึงโอกาสธุรกิจในอนาคต จึงมีแผนขยายจำนวนรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง รวมถึงการขยายการลงทุนตู้คอนเทนเนอร์ควบคุมอุณหภูมิ (Reefer Container) เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้า พร้อมจัดทำโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ แบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าของการให้บริการ และยกระดับคุณภาพ โดยมุ่งเน้นการรักษาสินค้าให้คงคุณภาพเดิมจนถึงมือผู้รับปลายทาง
“กลุ่มผู้บริหารที่ร่วมก่อตั้งบริษัทฯ ต่างเชื่อมั่นในธุรกิจขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนเพราะช่วงที่ผ่านมา ETL เติบโตมาแบบ Organic ซึ่งเราที่ได้รับการสนับสนุนที่ดีมาจากลูกค้าทั้งหลายที่ให้ความเชื่อมั่น ซึ่งเป้าหมายหลังจากนี้ เราจะก้าวเข้าไปสู่ตลาดใหม่ๆ ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม โดยการเติบโตหลังจากนี้ก็จะเป็นการเปิดทางควบคู่กันไปทั้งแบบ Organic และ Inorganic โดย ETL พร้อมแล้วที่จะเป็นหุ้น Growth Stock ให้กับนักลงทุนต่อไป” นางสาวกฤชวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ ETL มีศักยภาพเติบโตโดดเด่น จากแผนธุรกิจเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการขนส่งสินค้า ด้วยการขยายไปยังระบบโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Reefer Container) เพราะเมื่ออ้างจากตัวเลขบทวิเคราะห์มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้เห็นถึงโอกาสความต้องการการขนส่งสินค้าที่ควบคุมอุณหภูมิ เช่น ผลไม้สดและผลไม้แช่เย็น ที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังตลาดหลักคือ ประเทศจีน ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ ETL มีเครือข่ายและทำธุรกิจอยู่แล้ว ทำให้ ETL มองเห็นโอกาสที่จะเติบโตอย่างมหาศาลไม่ใช่เพียงแค่ 3-5 ปี แต่จะต่อเนื่องในระยะยาว ถือเป็นข้อแตกต่างเมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน