แนวโน้มตลาดวันนี้ (26 ธ.ค.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณแนวต้าน 1400 จุด ขณะที่สัญญาณเทคนิคระยะสั้นเข้าสู่ภาวะ Overbought และเข้าช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ส่งผลให้มูลค่าซื้อขายยังเบาบาง ทำให้ในระยะสั้น ดัชนีจะมีกรอบบนจำกัดบริเวณแนวต้าน 1405-1410 จุด และชะลอตัวลดความร้อนแรงก่อน ด้านแนวรับ
ประเด็นสำคัญ
• นายกฯ มอบหมายรมว. พลังงานเป็นประธานประชุมกพช. และมีมติชะลอการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนเฟสสองจำนวน 3,668.5MW ออกไปก่อนเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง มองเป็น Sentiment เชิงลบต่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือก เช่น EGCO GUNKUL RATCH และ GPSC
• พาณิชย์เผยการส่งออกไทยในเดือนพ.ย. ขยายตัว 8.2%YoY ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดไว้ราว 7-9%โดยขยายตัวในทุกกลุ่มสินค้าและการส่งออกช่วง 11M67 ขยายตัว 5.1%YoY ส่วนมูลค่าการนำเข้าในเดือนพ.ย. และช่วง 11M67 ขยายตัว 0.9%YoY และ 5.7%YoY ตามลำดับ
• รมว. พลังงานและอุตสาหกรรมร่วมเสนอร่างกฎหมายสนับสนุนการใช้โซลาร์รูฟท๊อปโดยการยกเลิกระบบการขออนุญาต เพื่อลดความยุ่งยาก, ลดต้นทุนไฟฟ้าสำหรับประชาชน และสร้างอาชีพติดตั้งโซลาร์เซลล์
• Airbnb China เผยชาวจีนค้นหาตั๋วเครื่องบินและสถานที่ท่องเที่ยวในต่างประเทศช่วงตรุษจีน (28ม.ค. – 4 ก.พ. 2568) สูงขึ้นสามเท่าเทียบกับการค้นหาสำหรับช่วงปีใหม่ และมีปลายทางยอดนิยม เช่น ญี่ปุ่น ไทย นิวซีแลนด์ มีปัจจัยหนุนจากราคาตั๋วบินต่างประเทศที่ถูกกว่าในประเทศ, การหลีกเลี่ยงอากาศหนาว และนโยบายฟรีวีซ่า
• กรมสรรพสามิตเผยอยู่ระหว่างการศึกษาภาษีโซเดียม เบื้องต้นอาจเริ่มเก็บในกลุ่มขนมขบเคี้ยว หลังประสบความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมการบริโภคน้ำตาลได้จากการเก็บภาษีน้ำตาล คาดจะเริ่มชัดเจนในปี 2568
• ธนาคารกลางจีน (PBOC) คงดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปีที่ 2% เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ และอัดฉีดเงิน 1.923 แสนล้านหยวนเข้าสู่ระบบการเงินผ่านทางข้อตกลง Reverse Repo อายุ 7 วันและอัตราดอกเบี้ย 1.5% เพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบธนาคารให้เพียงพอ
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยมีแนวรับที่บริเวณ 1360 จุด ทั้งนี้มอง SET หลุด 1400 จุดแย่กว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากความกังวลเรื่อง ESG ของหุ้นขนาดใหญ่ และ Fund Flow ยังมีทิศทางไหลออกหลังเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยช้าลง ทำให้ช่วงสั้นSET ลุ้นปรับขึ้นได้เพียงแค่ปัจจัยกระตุ้นจากความคาดหวังเม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าจากการเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการซื้อกองทุนประหยัดภาษีที่มักจะเร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปีและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพิ่มเติม อาทิ แจกเงินหมื่นเฟส 2, การนำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังคงต้องติดตามนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมทั้งดัชนี PMI ภาคการผลิต ธ.ค. จีนและสหรัฐฯ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily top picks
BBL: เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร มองมีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจาก 1) Valuation ถูกที่สุด 2) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด และ 3) สินเชื่อมีแนวโน้มเติบโตสูงที่สุด คาดสินเชื่อจะฟื้นตัวเติบโตได้ดีใน 4Q67 ซึ่งล่าสุดเดือนพ.ย. สินเชื่อเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องที่ 1.3%MoM แรงหนุนจากสินเชื่อกิจการต่างประเทศและสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่
OSP: เป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และช่วงสั้นยังมีโอกาสเป็นหุ้นที่เป็นเป้าหมายทำ Window Dressing ในช่วงสิ้นปีนี้ หลังราคาหุ้นปรับลง 2.7%YTD และ 7.4%QTD ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากปัจจัยฤดูกาลและยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศที่ฟื้นตัว