Market

ตลท. เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ปี 2566 - 2567
6 ธ.ค. 2566

ตลท. เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ปี 2566 - 2567

 

ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งเทศไทย ร่วมกับสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai (CEO Survey: Economic Outlook 2023 - 2024) ซึ่งรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 16 สิงหาคม  - 30 กันยายน 2566 สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

 

·        CEO ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ปรับตัวดีขึ้นแต่ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ในครั้งก่อน และคาดกว่า GDP จะเติบโตที่ระดับ 2% ถึง 3% และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตที่ระดับ 3% ถึง 4%

·        การท่องเที่ยว นโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ และเสถียรภาพการเมืองในประเทศ จะเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 และต่อเนื่องในปี 2567 ขณะที่เสถียรภาพการเมืองในประเทศ กำลังซื้อในประเทศ และการส่งออกจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ในปี 2566 โดยคาดว่ากำลังซื้อในประเทศจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในปี 2567

·        ทิศทางอุตสาหกรรมและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) นั้น 58% ของ CEO คาดว่าผลประกอบการในปี 2566 จะดีขึ้น โดย 52% ของ CEO คาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 2566 จะเติบโตมากกว่า 10% โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการกลับมาใช้ชีวิตรูปแบบปกติ อาทิ ธุรกิจในหมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดวัสดุก่อสร้าง

·        ด้านการลงทุนในปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 โดย 56% ของ CEO ที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มในปี 2566 และ 73%  คาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มในปี 2567 และพบว่าบริษัทจดทะเบียนในหมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น คาดว่าจะลงทุนเพิ่มขึ้น

  • แนวโน้มในการลงทุนในต่างประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มดีขึ้น สังเกตได้จากจำนวนบริษัทที่ตอบว่ามีการลงทุนเพิ่มเติมมีสัดส่วนอยู่ที่ 42% กระจายในหมวดธุรกิจต่างๆ อาทิ บริษัทจดทะเบียนในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค เป็นต้น โดยประเทศเป้าหมายในการลงทุน ได้แก่ ประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศนอกกลุ่มอาเซียน ได้แก่ จีน ซาอุดิอาระเบีย ขณะที่ชะลอการลงทุนในจีน และสิงคโปร์

·        เมื่อสอบถามถึงความวิตกกังวลในการประกอบธุรกิจ พบว่า ในปี 2566 CEO มีความวิตกกังวลสูงเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตด้านต่างๆ ทั้ง  “ต้นทุนราคาเชื้อเพลิง” และ “ต้นทุนวัตถุดิบ” และในด้านกำลังซื้อภายในประเทศ อัตราดอกเบี้ย และค่าเงินบาทที่ผันผวนของลูกค้า ขณะที่ “การเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” และ “การให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน” จะเป็นปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลบวกมากต่อบริษัท นอกจากนี้ CEO ยังแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการฟื้นตัวของกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การแทรกแซงตลาดของภาครัฐที่บิดเบือนกลไกตลาด และปัญหาจากภัยคุกคามทางไซเบอร์

 

นอกจากนี้ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน คาดว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา เสถียรภาพการเมืองโลก เสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ ความผันผวนของค่าเงินบาท และนโยบายการปรับเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำ จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของประเทศและการดำเนินงานของบริษัท ขณะที่ทิศทางนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาลใหม่จะส่งผลบวก

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com