เอเซีย พลัส มองตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4 มีโอกาสลุ้นกลับทิศเป็นขาขึ้น แนะนำหุ้นราคาน่าสะสมและมีปัจจัยเฉพาะตัว หนุนให้มีโอกาสฟื้นตัวเด่นกว่าตลาด
เอเซีย พลัส เผยภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วง 4Q66 มีโอกาสลุ้นกลับทิศเป็นขาขึ้น แม้มีความเสี่ยงการเกิด ศก.ถดถอยในสหรัฐฯ แต่ด้วยสถานการณ์เงินเฟ้อที่ทยอยดีขึ้นตามลำดับ ทำให้วัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ใกล้จบ ตลาดคาดว่า FED น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.5% จนถึงสิ้นปี ฝั่งเศรษฐกิจจีนเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว หลังตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจที่ออกมาสูงกว่าคาด อาทิ PMI ภาคการผลิต, ยอดนำเข้า-ส่งออก, CPI, PPI, ฯลฯ ส่วนไทยทั้งทิศทางเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อนับตั้งแต่ 2H66 จากภาคการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ช่วง ไฮซีซั่น และแรงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายของภาครัฐฯ ซึ่ง ธปท.คาด GDP ปี 66 และปี67 เติบโต 2.8% และ 4.4% ตามลำดับ ให้กรอบเป้าหมายดัชนีที่ 1400/1550 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นไทยมีความน่าลงทุนมากขึ้น หลังปัจจัยต่างประเทศเริ่มผ่อนคลายลงทั้งทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นจากแรง ในช่วง 3Q66(ตลาดตอบรับไประดับหนึ่งแล้ว) และมีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก จะไม่ใช้นโยบายทางการเงินเชิงรุกเฉกเช่นเดียวกับช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่ประเด็นในประเทศเห็นพัฒนาการเชิงบวกมากเรื่อยๆ หลังผ่านระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ และน่าจะเห็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ทั้งการลดราคาพลังงาน, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และความคาดหวังการแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป
ส่วนในมุม Fund Flow หลังจากที่ต่างชาติขายสุทธิตราสารหนี้ไทย -1.6 แสนล้านบาทและหุ้นไทยอีก -1.4 แสนล้านบาท ในปีนี้ จนเหลือสัดส่วนการถือครองทางตรงหุ้นไทยต่ำเพียง 23.9% หวังว่าจะเห็นการสลับเข้ามาซื้อสะสมสุทธิหุ้นไทยมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยสถิติไตรมาสที่ 4 มักจะเป็นฤดูกาลที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสะสมหุ้นไทยอยู่แล้ว สะท้อนได้จากใน 3 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในไตรมาสนี้ทุกปี โดยซื้อสุทธิเฉลี่ย 3.1 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ภายใต้ SET INDEX ที่ย่อตัวลงมามากกว่า 10% ในปีนี้ จนมี PBV เหลือเพียง 1.46 เท่า ต่ำกว่าระดับ -1SD ที่ 1.52 เท่าแล้ว ซึ่งถือว่าอยู่ในโซนที่ Downside จำกัด และยังมี Upside จากการประเมินเป้าหมาย SET INDEX ปี2566 โดยอิง MEYG ที่ระดับ 3.3% ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% และ EPS66F ที่ 88.6 บาท/หุ้น จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 2566 ที่ 1524 จุด และ EPS67F ที่ 99.8 บาท/หุ้น จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 2567 ที่ 1717 จุด
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยสะสมหุ้นเมื่อ SET Index มี Valuation เริ่มน่าสนใจเฉกเช่นภาวะปัจจุบัน โดยเลือกหุ้นพื้นฐานเด่น ราคาน่าสะสม และมีปัจจัยเฉพาะตัวหนุนให้มีโอกาสฟื้นตัวเด่นกว่าตลาด อย่าง AOT, SCGP, PTTEP, TOP, BCPG, TU, III