นักวิเคราะห์ คาด Fund Flows จากต่างประเทศ กองทุนวายุภักษ์ และมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ส่วน EPS โต 12%หนุน SET Index สิ้นปี 1494 จุด ชี้หุ้นไทยเดือนเดียวพุ่งแรง ติดอันดับ10 ของโลก โมเมนตัมเงินบาทแข็ง ดันต่างชาติโกยกำไร 2 เด้ง รวยกว่า27% มองข้ามชอตปีหน้า คาด EPS 98.68% ดัชนีแกว่ง 1365 ถึง 1634 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนไตรมาส 4 ปี 2567 ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
สมมติฐานหลัก
• ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ 79.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
• คาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 จากเดิมที่ 2.64% (ก.ค.67) ลดลงมาเหลือ 2.62%
• สมมติฐาน GDP ปี 68 คาดว่าต่ำสุดที่ 2.4% และสูงสุดที่ 3.5% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.01%
• Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.65%
• Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.76%
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2567แบ่งเป็น
- ปัจจัยบวก นำโดย Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย และกองทุนวายุภักษ์ ผู้ตอบแบบสำรวจ 100% เท่ากัน เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก ปัจจัยรองลงมา96% เท่ากันโหวตให้มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท และทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยผลประกอบการของ บจ.ปี67 ผู้ตอบ 88% และภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ 72% ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยลบ คือ ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 64% ของผู้ตอบทั้งหมด รองลงมาทุกปัจจัยที่มีผลโหวตต่ำกว่า 50% ของจำนวนผู้โหวต เช่น การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก 40% ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก 36% ตามลำดับ
ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2567 มีนักวิเคราะห์ร้อยละ 48 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.25% และมีผู้ตอบร้อยละ 43 มองว่าอยู่ที่ 2.50% และร้อยละ 9 มองว่าปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 2% ตามลำดับ
ส่วนคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในสิ้นปี 2568 นั้นมีความเห็นต่างกันพอสมควร โดยผู้ตอบร้อยละ 46 คาดว่าจะอยู่ที่ 2% รองลงมาผู้ตอบร้อยละ 25 มองว่าปรับลดลงมาที่ 1.75% ถัดมาผู้ตอบร้อยละ 13 มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงที่ที่ 2.50% และร้อยละ 8 มองว่าปรับลดเพียงเล็กน้อยที่ 2.25% มีเพียงผู้ตอบร้อยละ 8 ที่คาดว่าจะปรับลดลงที่ 1.50%
ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยได้ที่ 89.91 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 91.4 บาทต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.18% ทั้งยังคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ของตลาดเฉลี่ยไว้ที่ 98.65 บาท
สำหรับเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2567 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,494 จุด และคาดการณ์ SET Index ตลอดปี 2568 จะแกว่งตัวในกรอบ 1365 ถึง 1634 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2568 ที่ 1,614 จุด
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสที่จะเข้าลงทุนหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ต้นปี ต่างชาติเทขายหุ้นไทยทุกตลาดทั้งหุ้น NVDR DR ตราสารหนี้ แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง ต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยราว 3 หมื่นกว่าล้านบาท วอลุ่มขยับขึ้น
“เมื่อต้นปีนี้ เงินบาทอ่อนค่า 7% เขาซื้อหุ้นจะขาดทุน 8% แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง เงินบาทแข็งค่าขึ้นมา คนไทยเล่นได้กำไร 12% แต่ฝรั่งได้กำไร 27% ในเดือน ก.ย. มีเงินต่างชาติเข้ามาหุ้นไทยมาก ในช่วง 1 เดือนหุ้นไทยขึ้นอันดับ 2 ของโลก (เทียบมูลค่าเป็นดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับในเดือน ต.ค. ตลาดหุ้นไทยยังมีเงินจากกองทุนวายุภักษ์เข้ามา แนวโน้มเงินบาทแข็งค่า หากเทียบดอกเบี้ยไทยลด 0.25-0.50% แต่เฟดลดดแกเบี้ย 10 ครั้ง รวม 2% มีโอกาสที่เงินบาทแข็งค่า ก็จะได้กำไรอีก เราคาดว่าหุ้นไทยยังมีโอกาสบวกต่อ ส่วนความเสี่ยงต่างชาติจะเทขายหุ้นไ ทยช่วงปลายปี (ธ.ค.) ก่อนพักร้อนหยุดยาวเทศกาลคริสมาร์ตนั้น จากสถิติ เป็นช่วงที่จะเกิดซานต้า แรลลี่ ขึ้น วอลุ่มเหลือ 1-2 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่พอหลังเปิดต้นปีใหม่ ก็กลับมาลงทุนอีก เกิด January effect ในตลาดหุ้นขึ้นได้เช่นกัน“ นายภราดร กล่าว
นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 6.43% , กองทุนตราสารหนี้ 20.30% , หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 32.22% , หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.65% ,กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 9.04% และทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.35%
โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นสหรัฐฯโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี-AI และ Healthcare Selective Asia เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม
สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจค้าปลีก Finance การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดเกษตร ยานยนต์ พลังงานและปิโตรเคมี
รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักฯ ขึ้นไป มีดังนี้
1. AOT ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อีกทั้งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นใน 2 เดือนสุดท้ายของปี
2. BDMS ได้ประโยชน์จากคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้นและสังคมสูงวัยที่ใหญ่ขึ้น
3. CPALL ได้ประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่ฟื้นตัวและได้อานิสงส์จากโครงการดิจิตอล Wallet เศรษฐกิจและการบริโภคฟื้นตัวจากเงินหมื่น
4. GPSC โดยมองว่าได้แรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ที่จะดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน
สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นกลุ่มยานยนต์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน หุ้นกลุ่มธนาคาร และส่งออกที่อาจย่อตัว หลังขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับงบประมาณ โดยกล่าวถึงมาตรการทั้งในระยะสั้นและยาว แยกเป็นเสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อยอด Tourism Province & Connects รวมทั้งการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ถัดมาด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ สนับสนุนโครงการลงทุนใหม่ๆ เช่น Entertainment Complex รวมทั้งออกมาตรการ soft loan และ refinance ให้ SMEs และตามมาด้านการช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้รายย่อย / ครัวเรือน มาตรการลดภาษี และสนับสนุนค่าเล่าเรียนเพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่มีลูกเพิ่ม