ทิศทางหุ้นวันนี้ในระยะสั้น SET ยังมี upside จำกัด โดยมีกรอบบนที่เป็นแนวต้านอยู่ที่1410 และ 1415 จุด ตามลำดับ ขณะที่กรอบล่าง มีแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1394 จุด หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบ
แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (25 ธ.ค.) บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ในระยะสั้น ยังมีupside จำกัด โดยมีกรอบบนที่เป็นแนวต้านอยู่ที่ 1410 และ 1415 จุด ตามลำดับ ขณะที่กรอบล่าง มีแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1394 จุด หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบต่อภาพการพักตัว เพื่อลดความร้อนแรงก่อน และมีแนวรับถัดไปที่ 1384 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ดัชนี Headline PCE พ.ย. ของสหรัฐ +2.6%YoY และ -0.1%MoM ส่วนดัชนี Core PCE พ.ย. +3.2%YoY และ +0.1%MoM ชะลอลงจาก ต.ค. และต่ำกว่าคาด หนุนให้นลท. คาด Fed จะลด ดบ. ปีหน้า
• เมื่อวันศุกร์สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ลดลงราว 0.4%DoD จากคาดการณ์ว่าแองโกลาจะเพิ่มการผลิตหลังถอนตัวจากกลุ่ม Opec และคาดอุปสงค์น้ำมันลดลงหลังข้อมูล ศก. สหรัฐอ่อนแอ
• จีนคาดอุปสงค์เหล็กกล้าในปี 2566 จะหดตัวลง 3.3%YoY และจะหดตัวลงอีก1.7%YoY ในปี 2567 ผลกระทบจากกิจกรรมการก่อสร้างที่ลดลงอย่างมากจากวิกฤตหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์
• รัฐบาลจีนเปิดเผยร่างมาตรการใหม่เพื่อควบคุมการใช้จ่ายเงินในการซื้อเกมออนไลน์และเนื้อหาในเกมออนไลน์ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลกำลังเริ่มควบคุมอุตสาหกรรมเกม
• WHO ระบุจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้น 52% ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากว่า 8.5 แสนราย โดยมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในสายพันธุ์ JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสโอมิครอน BA.2.86
• กรมสรรพากรระบุมาตรการ Easy E-Receipt ไม่รวมค่าสุรา-เบียร์-ไวน์-ยาสูบ-ค่าน้ำประปา-ค่าไฟฟ้า-ค่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ ประเมินช่วยหมุนเงินในระบบ 7 หมื่นลบ. หนุน GDP เพิ่ม 0.18%
• AOT ประเมินช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีปริมาณผู้โดยสารเดินทางผ่าน 6 ท่าอากาศยานภายใต้การดูแลกว่า 2.65 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 35%YoY และมีเที่ยวบิน 15,152 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 27.4%YoY
กลยุทธลงทุน ในช่วงสั้นมองการปรับขึ้นตลาดหุ้นโลกจะเริ่มชะลอตัวลง หลังตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา อีกทั้งเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ส่วนของตลาดหุ้นไทยคาดมีปัจจัยหนุนระยะสั้นจากการทำ Window dressing, การมีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน TESG และ RMF ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566 และหาก SET ยืนเหนือ 1,400 อาจเห็นการทำ Short Covering ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET มีปัจจัยหนุนจากการทำ Window dressing, เม็ดเงินลงทุนจากกองทุน TESG และ RMF ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566 และหาก SET ยืนเหนือ 1,400 อาจเห็นการทำ Short Covering กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นที่ที่มีโอกาสได้รับผลบวก ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (I) ได้ ESG Rating ตั้งแต่ “A”-“AAA” และราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET YTD เลือก OR AOT หรือ (II) ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET YTD อีกทั้งผลดำเนินงานแข็งแกร่ง และคาดให้ Div. Yield สูงกว่าปีละ 5% เลือก PTT KTB
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลงได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (BJC CPALL CPAXT), การแพทย์ (BDMS BCH), โรงไฟฟ้า (GULF), REIT (DIF), อสังหาฯ(AP) และ Consumer Finance (TIDLOR)
3) หุ้นที่อาจได้แรงหนุนจากการทำ Short Covering มากกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นมา และเราแนะนำ ซื้อ ได้แก่ ADVANC MINT
4) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ E-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 หมื่นบาท เริ่มในวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567 ได้แก่ CRC HMPRO
ช่วงสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำซึ่งคาดจะมีการเสนอ ครม. พิจารณาภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์(HANA) ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
โฟกัสหุ้นวันนี้
BDMS เป็นหุ้น SETESG Index ที่น่าสนใจ Rating “AA” คาด 4Q66 กำไรปกติโตYoY ส่วนปี 2566-67 คาดกำไรปกติโต 12%YoY และ 8%YoY จากบริการผู้ป่วยต่างชาติและรายได้จากศูนย์ความเป็นเลิศที่เพิ่มขึ้น และการใช้ประโยชน์สินทรัพย์ดีขึ้นราคาหุ้นซื้อขายที่ PE ปี 67 ต่ำกว่า -2SD (36 เท่า)
CRC มองเป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AAA” คาดกำไรผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และ 4Q66 คาดเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปีนี้ โดยกำไรจะเพิ่มขึ้น QoQ และ YoY อีกทั้งจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายหลักของกลุ่มฯ จากโครงการ E-receipt ไม่เกิน 5 หมื่นบาท ในช่วง 1 ม.ค. -15 ก.พ. 2567