MAGURO หนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม ปลื้ม กระแสตอบรับจากการจัดโรดโชว์แรง กลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจสูง ทั้งนักลงทุนสถาบัน และ นักลงทุนกลุ่ม VI เตรียมเคาะราคาไอพีโอเร็วๆนี้
คุณเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยถึงกระแสตอบรับการโรดโชว์ ว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณ นักลงทุนทุกกลุ่ม ที่ให้ความสนใจเข้ารับฟังการนำเสนอข้อมูลของบริษัท และแสดงความสนใจในธุรกิจร้านอาหารของบริษัทฯ ซึ่งมีร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่ 1. ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม “MAGURO” (มากุโระ) จำนวน 14 สาขา 2. ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) จำนวน 6 สาขา และ 3. ร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับ (Authentic Japanese Sukiyaki and Shabu Shabu) “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) จำนวน 6 สาขา ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีจำนวนสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 3 แบรนด์ จำนวน 26 สาขา และมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 11 สาขา เพื่อสร้างการเติบโตอย่างสูงและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ “MAGURO CATERING” ในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox และมีบริการจัดส่งอาหารโดยตรง ภายใต้ชื่อ “MAGURO GO” แพลตฟอร์มให้บริการอาหารญี่ปุ่นเดลิเวอรี่คุณภาพระดับพรีเมียมที่จัดส่งถึงที่ ในราคาและคุณภาพเทียบเท่าที่ร้าน
“ธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจที่ท้าทาย มีการแข่งขันค่อนข้างสูง และมีผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดทุกๆ ปี ผู้บริโภคมีทางเลือกจำนวนมาก นอกจากนี้ ธุรกิจเดลิเวอรี่อาหารยังเติบโตสูงในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา MAGURO ได้ใช้ 4 กลยุทธ์หลัก ซึ่งเป็นเสมือน 4 เสาหลักในการดำเนินกิจการ และสามารถมีรายได้รวมให้เติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 64.26% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) คือ 1. การขยายสาขาและช่องทางการให้บริการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Channel Expansion) โดยมีการจัดทำข้อมูลวิเคราะห์โครงการสาขาที่จะเปิดใหม่ เพื่อพิจารณาผลตอบแทนและความคุ้มค่าในการลงทุน โดยบริษัทฯ จะจัดทำ Feasibility Study ก่อนตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ เพื่อโอกาสที่จะทำให้การลงทุนทุกครั้งประสบความสำเร็จ โดยบริษัทฯ เตรียมการขยายสาขาจากปัจจุบัน สู่โลเคชั่นใหม่ทั้งในเมือง และ ย่านชานเมืองสำคัญที่มีกำลังซื้อสูง โดยใช้ศักยภาพของแบรนด์ของบริษัทฯ ในการดึงดูดลูกค้าด้วยชื่อเสียงของแบรนด์เอง ซึ่งช่วยการลดการพึ่งพาจำนวนลูกค้าจากห้างสรรพสินค้าใหญ่ และเพิ่มทางเลือกของที่ตั้งในการขยายสาขา 2.การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามปรัชญา Give More (Research and Development with Give More Philosophy)
บริษัทฯมุ่งเน้นนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ ร้านอาหารรูปแบบใหม่ รวมถึง มีการพัฒนาเมนูอย่างต่อเนื่องให้หลากหลาย น่าตื่นเต้น ทันสมัย บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแบรนด์ใหม่ สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง การมอบความคุ้มค่าสูงสุดให้ลูกค้าอย่างจริงใจด้วยคุณภาพวัตถุดิบนำเข้าระดับพรีเมียมในปริมาณที่มากเพื่อสร้างความประทับใจ 3.การมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าที่เป็นเอกลักษณ์ (Distinctive Customer Experience) และน่าประทับใจทั้งคุณภาพอาหาร การบริการที่รู้ใจและใส่ใจแก่ลูกค้า บรรยากาศที่ดี และการนำระบบ CRM ในการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด 4. การหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อการเติบโต (Diversification for Growth) ด้วยการเปิดสาขาใหม่ และสร้างแบรนด์ร้านอาหารใหม่และผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการศึกษาความต้องการของลูกค้าเชิงลึก จากฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากจำนวนสมาชิกที่อยู่ในระบบ (Membership Program) มากกว่า 145,000 ราย”
คุณจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ในธุรกิจร้านอาหารที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง MAGURO เป็น 1 ในหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารที่มีประสบการณ์และมีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมาตลอด โดยสามารถสร้างเครือข่ายร้านอาหารที่แข็งแรงโดยมี 3 แบรนด์ ร้านอาหาร ใน 3 รูปแบบ ทั้ง ซูชิและอาหารญี่ปุ่น, ปิ้งย่างเกาหลี และชาบูสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่น ด้วยคุณภาพของอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่คุ้มค่า ทำให้ MAGURO มีฐานลูกค้าที่มั่นคงและสามารถขยายฐานลูกค้า ไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขยายสาขาของแต่ละแบรนด์อย่างต่อเนื่องในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตสูง ถึงแม้ว่าธุรกิจร้านอาหารจะมีการแข่งขันที่สูง แต่ MAGURO ยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ MAGURO ยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ในปี 2566 มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง 45.17% และปลอดหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย และมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 26.52% ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai จะช่วยให้บริษัทฯ ขยายฐานทุน สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
คุณสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ กล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มเปิดตัวแผนการเตรียมไอพีโอ เกิดกระแสนักลงทุนให้ความสนใจในหุ้นไอพีโอ MAGURO เป็นอย่างมาก เนื่องจาก MAGURO มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง จากการที่ร้านอาหารทั้ง 3 แบรนด์ มีชื่อเสียงที่ดี และได้รับการยอมรับอย่างสูงจากกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์เอง ตลอดจนกลุ่มลูกค้าประจำที่เป็นสมาชิก (Membership) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเพิ่มจาก 69,037 รายในปี 2565 เป็น 145,615 ราย ในปี 2566 โดยสมาชิกดังกล่าวสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ คิดเป็นกว่า 54.36% ของรายได้ในปี 2566 ประกอบกับบริษัทฯ ยังมีการเติบโตที่สูง โดยมีรายได้ที่เติบโตสูงถึง 57.06% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลทั้งจากการเปิดสาขาใหม่ และการเติบโตรายได้ของสาขาเดิม นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 41.91% ในปี 2565 เป็น 45.17%ในปี 2566 และส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มจาก 4.71% ในปี 2565 เป็น 6.93% ในปี 2566 ทำให้กำไรสุทธิมีอัตราการเติบโตเที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีล่าสุด และทางบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายสาขาจำนวนมาก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ได้ ภายในไตรมาสที่ 2 อย่างแน่นอน
บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO มีผลการดำเนินงานเติบโตสูงและต่อเนื่อง โดยในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 387.61 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 9.57 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 มีรายได้รวม 665.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.78% มีกำไรสุทธิ 31.36 ล้านบาท เติบโต 227.69% สำหรับปี 2566 มีรายได้รวม 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% และมีกำไร 72.48 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131.12% จากปีก่อนหน้า ปัจจุบัน MAGURO มีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 104,539,800 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 27.03 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้