TIPH กางแผนบุก ปี 67 ชูหัวหอก 'ทิพยประกันภัย' นำทัพปั๊มเบี้ยโต 7-8% พร้อมเตรียมเงินลงทุน 2 พันล้าน เบ่งพอร์ตมอเตอร์โต เร่งเครื่องตลาดออนไลน์ผ่านน้องใหม่ 'อินชัวร์เวิร์ส ' ส่วนต่างประเทศ เพิ่มลงทุนในลาว สยายปีกกัมพูชา-เวียดนาม ปักธง 5 ปีข้างหน้า ทิพยผงาดขึ้นเบอร์หนึ่งทั้งเบี้ยและผลประกอบการ
ดร. สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ หุ้น TIPH และในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย เปิดเผยว่า แผนดำเนินธุรกิจในปีหน้า 2567 มุ่งขยายตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดเบี้ยประกันภัยรวมเติบโต 7-8% จากเบี้ยรวมสิ้นปีนั้ที่คาดปิดที่ระดับ 35,00-36,000 ล้านบาท โดยเตรียมเงินลงทุนใหม่ 2,000 ล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ และในไทย ผลักดันให้บริษัทเติบโตได้ตามเป้าหมายในระยะยาว 5 ปี คือ ทิพยประกันภัยขึ้นเป็นอันดับหนึ่งทั้งด้านเบี้ยประกันภัยและผลประกอบการในอุตสาหกรรมประกันภัย ทั้งนี้ คาดว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ทิพยประกันภัยจะมีเบี้ยรับรวมขึ้นอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท
สำหรับแผนขยายธุรกิจในไทย วางยุทธศาสตร์ผลักดันการเติบโตของพอร์ตประกันภัยรถยนต์(มอเตอร์) ให้เพิ่มมากขึ้นจากช่วงที่ผ่านมาที่มีการปรับโครงสร้างพอร์ตมอเตอร์ได้ดีพอสมควร โดยปีนี้พอร์ตมอเตอร์มีสัดส่วน 18%%ของพอร์ตรวมทั้งหมดของบริษัท ส่วนปีหน้า คาดเบี้ยพอร์ตรถยนต์จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 30% หรือเบี้ยมอเตอร์รวมราวๆ 10,000 ล้านบาท ส่วนใน 5 ปีข้างหน้า พอร์ตมอเตอร์จะมีสัดส่วนใหญ่ขึ้นมาเป็นสัดส่วน 55% ของพอร์ตรวม โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่เน้นซื้อประกันได้ความคุ้มค่า (Value for money) เพื่อไม่ต้องเข้าไปแข่งขันตัดราคาในตลาดประกันภัยรถเพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เลือกซื้อในราคาที่ถูกกัน
"ลูกค้ากลุ่ม Value for money มีจนาดมากเพียงพอที่เราจะเข้าไปทำคลาด เป็นกลุ่มที่เราอยู่กับเขาได้และเรามีกำไรอยู่ได้ ตอนนี้เรามีลูกค้ากลุ่มนี้ยอดเบี้ยราว 60-65%ของพอร์ตมอเตอร์รวม"
นอกจากนี้ ทิพยฯยังมีบริษัท อินชัวร์เวิร์ส (Insurverse) ที่เพิ่งจัดตั้งเมื่อเดือนกันยายน 2566 จะเป็นการให้บริการประกันภัยดิจิทัลเต็มรูปแบบ จะมีแพลตฟอร์มให็เลือกซื้อประกันตอนนี้ก็มีผลตอบรับค่อนข้างดีจากการมุ่งสร้างการรับรู้ในช่วงที่ผ่านมา และขณะนี้กำลังปรับแผนใหม่ โดยคาดว่าจะเห็นยอดขายเบี้ยราว 100 ล้านบาท และคาดว่าบริษัทนี้จะใช้เวลาราว 3 ปี จะ Take off หรือตั้งหลักเติบโตขึ้นมาได้ แต่ก็ตั้งเป้าหมายในระยะ 5 ปี พอร์ตเบี้ยรวมประมาณ 5,000 ล้านบาท
ดร. สมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า เริ่มเห็นการขยายตัวของประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV จำนวนมากขึ้น ซึางเบี้ยประกันภัยของรถ EV แพงกว่ารถยนต์สันดาป(ใช้น้ำมัน) ประมาณ 15% จึงเป็นอีกตลาดที่จะเพิ่มการขยายตัวของพอร์ตมอเตอร์ในปีหน้าให้แก่บริษัทด้วย
"พอร์ตนอนมอเตอร์ที่มีสัดส่วนใหญ่ 70% ยังโฟกัสที่ประกันเบ็ดเตล็ด ที่ทิพยฯเป็นเจ้าตลาดนี้มา 40-50 ปีแล้ว profit margin ก็ยังดีอยู่ 8-10% ส่วนของพอร์ตมอเตอร์อยู่ที่ 4-5%"
ดร.สมพร กล่าวถึงการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ว่า ทิพยประกันภัย ในสปป.ลาว ที่ดำเนินธุรกิจอยู่จะให้บริการทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย โดยได้นำผลิตภัณฑ์ประก้นภัยต่างๆที่ขายในไทย ไปเสนอขายใน สปป. ลาว เช่นเดียวกัน รวมถึงการให้บริการของทิพย สมาร์ทด้วย ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีในช่วง 2-3 เดือนที่ได้จัดตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา ทำให้ปัจจุบัน ยอดเบี้ยรวม60 ล้านบาท ขณะที่ สปป.ลาว มีเบี้ยประกันภัยทั้งสิ้น 670 ล้านบาท ซึ่งบริษัทประกันที่เป็นเจ้าตลาด มีส่วนแบ่งการตลาด 60-70% ของตลาดรวม
"ปัจจุบันงานที่เรารับประกันส่วนใหญ่เป็นรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากลาวมีการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานค่อนข้างมาก แต่เศรษฐกิจในลาวชะลอตัว
ขณะที่มีพอร์ตมอเตอร์กำลังขยายตัวมาก เพราะเรานำประกันที่ขายในไทยไปขายเหมือนก้นในลาวด้วย ราคาก็ราคาเดียวกันคิดเป็นสกุลเงินบาท และมีบริการเหมือนในไทย ทำให้ลูกค้ามาซื้อประกันเรา ขณะที่ lost ratio ก็ต่ำด้วย ใน 3-5 ปีหน้าจะเห็นพอร์ตมอเตอร์จะแซงพอร์ตประกันรับเหมาฯ เราตั้งเป้าหมายทิพยฯ ที่จะขึ้นเป็นหนึ่งใน 3 อันดับผู้นำในลาว ซึ่งจะต้องทำเบี้ยประกันประมาณ 200 – 300 ล้านบาท"
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้า บริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นทิพยประกันภัยใน สปป. ลาว มากขึ้น จากปัจจุบัน บมจ. ทิพยประกันภัย ถือหุ้นสัดส่วน 15% ของทุนจดทะเบียน 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นโดยให้ ทิพย โฮลดิ้งส์ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นเพิ่ม จะทำให้สัดส่วนรวมกันมากกว่า 50% และสัดส่วนที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นในท้องถิ่น
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาร่วมลงทุนในกัมพูชา ซึ่งจะเป็นการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาโดยทิพย โฮลดิ้งส์ ถือหุ้นสัดส่วนไม่เกิน 45%ของทุนจดทะเบียนบริษัท และที่เหลือเป็นผู้ลงทุนในท้องถิ่น คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีหน้า 2567
"ธุรกิจในต่างประเทศของบริษัท ตอนนี้เบี้ยยังน้อยมาก แต่ใน 3 ปีหน้า คาดว่า เบี้ยของลาวและกัมพูชา จะอยู่ที่ 500 ล้านบาท"
ดร. สมพร กล่าวว่า อีกประเทศที่สนใจ คือ เวียดนาม โดยกำลังเจรจากับบริษัทประกันชี้นนำTop 5 ของเวียดนาม คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในครึ่งหลังของปีหน้า