Market

JMART งบ Q3 กลับมาเทิร์นอะราวด์ โกยกำไร 293 ลบ. ลั่นปี 67 ผลประกอบการบริษัทย่อย-ร่วม ทิศทางสดใส หนุนงบ All Time High
10 พ.ย 2566

JMART พิสูจน์ผลงานในงบไตรมาส3 ทำกำไร 293 ลบ. จากกลุ่มบริษัท SINGER และ SGC ไม่มีตั้งสำรองอย่างมีนัยสำคัญ โดยพลิกมาทำกำไรเช่นกัน ขณะที่ภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้ของ JMT เติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าทำนิวไฮในปี 2566 และ 2567 ยืนยันปีนี้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และปี 2567 จะทำ All Time High

 

 

โดย บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (JMART) เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 พลิกฟื้นทำกำไรตามนัด อยู่ที่ 293 ล้านบาท หลังจากไตรมาส 2/2566 มีผลขาดทุน (611) ล้านบาท และสนับสนุนงวด 9 เดือนแรกของปีนี้มีผลขาดทุนสุทธิลดลงอยู่ที่ (613) ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากผลขาดทุนในบริษัทร่วม บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER) และ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC) ที่ได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองลูกหนี้ รวมทั้ง ความพยายามในการปรับกลยุทธ์ให้ดีที่สุด และคาดจะมีทิศทางเป็นบวกต่อเนื่องในไตรมาส 4/2566 ทำนิวไฮของปี และยืนยันเป้าปี 2567 JMART จะกลับมาทำ All Time High ได้อีกครั้ง

 

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (JMART) กล่าวว่า เราใช้เวลาพิสูจน์มาแล้วตั้งแต่เริ่มไตรมาส 3/2566 ผลประกอบการของ SINGER และ SGC ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเชื่อว่า จะกลับขึ้นมาสร้างผลประกอบการที่ดีขึ้นตามระยะเวลาจากนี้ไป กำไรกลับมาเป็นบวก แม้ในไตรมาสนี้ยังบวกไม่มาก แต่ส่งสัญญาณว่าเราจัดการภายในและเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจให้ชัดเจนขึ้น ปัญหาก็ได้แก้ไขไปหมดแล้ว โดยมี Key Driver คือ JMT และเชื่อว่าจะดีต่อเนื่องในไตรมาส 4/2566 และปีหน้า รวมทั้ง ผลบวกที่ค่อนข้างชัดเจนจาก JAS ASSET (J) มีกำไรที่โดดเด่น และการลงทุนที่คุ้มค่าจากสุกี้ตี๋น้อย (TEENOI) ที่สามารถสร้างผลกำไรให้ JMART มากขึ้นๆ และยังมีการขยายทุกเดือน ในงวดไตรมาส 3/2566 สุกี้ตี๋น้อยมีกำไรสุทธิ 255 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 676 ล้านบาท มีสาขาจำนวน 50 สาขา คาดสิ้นปีไฮซีซั่น และมีการเปิดสาขาเพิ่มเป็น 55 สาขา เตรียมเปิดที่โคราช 2 สาขา พัทยาเหนือ 1 สาขา และ สมุทรปราการ 2 สาขา โดยเน้นออกต่างจังหวัดมากขึ้น รวมถึงการ Synergy ที่เราทำอยู่ เริ่มเก็บเกี่ยวผลงานอย่างดี

 

มองภาพรวม เราก็ยังเชื่อว่าในไตรมาสที่ 4/2566 JMT - JAS ASSET (J) – SINGER - SGC – TEENOI - JAYMART MOBILE ยังส่งผลกำไรในเชิงบวก มองไตรมาส 4/2566 ดีกว่าไตรมาส 3/2566 โดยโครงสร้างของกลุ่ม เราเน้นเรื่องคอมเมิร์ซ และไฟแนนซ์ เราเชื่อว่าทั้งสองธุรกิจจะโตได้ต้องมีเทคโนโลยี เราจะไปสู่คอมเมิร์ซเทคฯ และฟินเทคฯ อยากให้ทุกท่านติดตาม ทั้งในการทำ CRM ผูกกับลูกค้า หรือใช้เทคโนโลยีผูกกับ J POINT ตอนนี้เรามีพาร์ทเนอร์จำนวนมาก และกำลังเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยได้ทาง J Ventures มาสร้างพื้นฐานที่ให้เรา มีพอยท์ในรูปแบบดิจิทัล ทำให้เราสนุกกับการบริการลูกค้า เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า และเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้า ผมเชื่อว่า สิ่งที่เราทำมาหลายปีในเรื่อง JPOINT และ J Wallet  ทำให้เรามี Marketing tools ที่แข็งแกร่งในอนาคต และสนับสนุนให้กลุ่มบริษัทเจมาร์ทมีผลกำไรในเชิงบวก และน่าจะทำ New High ได้ในปี 2567 ภายใต้ SINGER  SGC ที่เป็นบวก และสร้างฐานการเดินไปข้างหน้าอย่างแข็งแรง ให้สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดเป็นเครื่องพิสูจน์ และส่งผลบวกมาที่เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ นอกจากนี้ ปัจจุบันเรามีความแข็งแกร่งทางการเงิน มี IBD/E เพียง 0.72 เท่า 

 

ขณะที่ นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (JMT) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 มีกำไรสุทธิ 466.3 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 2.4% มีรายได้รวม 1,307.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 18.8% ขณะที่งวด 9 เดือนปีนี้มีกำไรสุทธิ 1,470.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.1% รายได้ 3,707.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 13.5% มาจากรายได้ที่ทำสัญญากับลูกค้า รายได้ดอกเบี้ย-กำไรจากเงินให้สินเชื่อการซื้อลูกหนี้ และรายได้รายรับประกันภัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มียอดจัดเก็บกระแสเงินสดในไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 1,330 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย และงวด 9 เดือน บริษัทฯ มียอดจัดเก็บเท่ากับ 4,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และได้ลงทุนในหนี้ด้อยคุณภาพรวมทั้งปีนี้แล้ว 6,302 ล้านบาท และมีหนี้ด้อยคุณภาพสะสมในปีนี้แล้วกว่า 1 แสนล้านบาท และมั่นใจโค้งสุดท้ายของปีไฮซีซั่นของการซื้อหนี้เข้ามาบริหาร ปัจจุบัน 

อยู่ระหว่างประมูลซื้อหนี้ด้อยคุณภาพกับสถาบันการเงิน โดยเป็นอีกปีที่ JMT ซื้อหนี้เข้ามามากที่สุด ทำ All Time High ส่งผลบวกต่อบริษัทฯ ในปีนี้ และปี 2567 อย่างไรก็ดี ยอดการจัดเก็บ (Cash Collection) ลดลง จากสภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 3/2566 และเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นแล้วในเดือนกันยายน โดยตั้งเป้าหมายกลับคืนฟอร์มในไตรมาสที่ 4 ปีนี้

 

นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER) เปิดเผย ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 3/2566 กำไรสุทธิทำได้ที่ 13 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/2566 ที่ (2,396) ล้านบาท ขณะที่ รายได้รวม 675 ล้านบาท ย้ำความมั่นใจ เราไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ และผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/2566 พร้อมเดินหน้าสร้างฐานการเติบโตครั้งใหม่ และสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริหารได้ 40% ดีกว่าคาด

 

ด้าน นายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC) บริษัทในกลุ่ม SINGER เปิดเผยภาพรวมไตรมาส 3/2566 ทำกำไรที่ 8.23 ล้านบาท จาก มีรายได้รวม 493.59 ล้านบาท พลิกฟื้นจากผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ (1,919) ล้านบาท โดยบริษัทได้มุ่งเน้นการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างต่อเนื่องและมีการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อรองรับคุณภาพของสินเชื่อภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงฟื้นตัวเฉพาะส่วน 

 

เพื่อสร้างฐานการเติบโตอย่างมีคุณภาพ บริษัทพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออย่างรัดกุม โดย ณ สิ้นงวดไตรมาส 3/2566 ปล่อยสินเชื่อใหม่ 1,376 ล้านบาท โดยยังคงโฟกัสสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (C4C) สนับสนุนให้มูลค่าของพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 13,831 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (C4C) ภายใต้แบรนด์รถทำเงิน 76% และมีสินเชื่อเช่าซื้อ (HP) 20.3% และอื่นๆ 3.7% ของพอร์ตสินเชื่อรวม 

 

ด้าน NPL ยังอยู่ในระดับสูง แต่หากมาดูพอร์ตสินเชื่อใหม่ก็ทำได้ดีมี NPL อยู่ที่ 3-5% จากการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจเราสร้างฐานการติบโตครั้งใหม่ มุ่งสู่ปี 2567 กลับมาคืนฟอร์ม

 

 

ด้าน นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (J) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 3/2566 มีผลกำไรสุทธิ 129.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 617.2% และ งวด 9 เดือน ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 134.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 74.7% โดยสาเหตุที่บริษัทมีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนและรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ JAS Green Village บางบัวทอง ในช่วงไตรมาส 3/2566 

 

ขณะที่ภาพรวมรายได้รวมมีการเติบโตที่ดี มีสาเหตุหลักจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ JAS Green Village คู้บอน และ JAS Urban ศรีนครินทร์ เป็นหลัก รวมถึงรายได้ค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ไฟฟ้าและการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับต้นทุนค่าไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มขึ้นของรายได้ในโครงการ Senera Senior Wellness จากการส่งมอบพื้นที่ให้ Senera ViMUT Health Service ด้านผู้บริหารเผยทิศทางปี 67 ไฟเขียวลุยพัฒนาโปรเจกต์ JAS Green Village 3 แห่งที่ รามคำแหง - ประเวศ และ ขอนแก่น หนุนภาพรวมรายได้จากการเช่าเติบโต ขณะที่ โครงการ Senera Senior Wellness เข้ามาเสริมทัพ หนุนผลงานโตไม่หยุด

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com