บอร์ด"ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์" จ่ายปันผลปี 2566 หุ้นละ 0.16 บาท ขึ้น XD 11 มี.ค. ล่าสุดเปิดงบไตรมาส 4/2566 สุดสวย โชว์รายได้ 364.0 ล้านบาท พุ่ง 12% กำไรสุทธิ 29.4 ล้านบาท โต 293% เปิดแผนปี 67 “F.A.S.T’24” เดินหน้าลุย New Business Units
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลของปี 2566 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตรา 0.16 บาท/หุ้น เป็นจำนวนเงินรวม 50.41 ล้านบาท และกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 11 มีนาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 14 พฤษภาคม 2567
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 364.0 ล้าน และเมื่อเทียบกับไตรมาส3/2566 เพิ่มขึ้น 12% หรืออยู่ที่ 38.1 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 4/2566 มีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่อยู่ที่ 29.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 293% เมื่อเปรียบเทียบไตรมาส 4/2565 ที่มีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่อยู่ที่ 7.5 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 เพิ่มขึ้น 80% ที่มีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่อยู่ที่ 16.3 ล้านบาท ขณะเดียวกัน รายได้รวมในไตรมาส 4/2566 ยังเพิ่มขึ้น 38.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566
“บริษัทฯ กำลังเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตของรายได้และการทำกำไรอีกครั้งหนึ่ง โดยความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566 เพิ่มเป็นร้อยละ 34 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20% ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง เป็นผลจากความสามารถในการสร้างรายได้ และบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ได้มีการปรับแผนการตลาดและการขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์การตลาดและการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงการที่บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากการขนส่งสินค้าทางราง ไทย-ลาว-จีน ร่วมกับ บริษัท LaneXang Express และการขายทุเรียนแช่แข็งไปยังประเทศจีนผ่านทาง บริษัท LEO Sourcing Supply Chain ซึ่งเป็นบริษัท JV ในเครือของบริษัทฯ” นายเกตติวิทย์ กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2567 LEO เดินตามแผนยุทธศาสตร์ F.A.S.T.’24 จะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตกำไรขั้นต้นและผลประกอบการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 1/2567 ที่บริษัทฯ จะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากภาวะสงครามในอิสราเอล-ฮามาส ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตทะเลแดง และทำให้อัตราค่าขนส่งสินค้าทางทะเลมีการเพิ่มสูงขึ้นถึง 3-4 เท่าสำหรับการขนส่งไปยังประเทศในแถบตะวันออกกลาง ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างกำไรขั้นต้นได้สูงขึ้นจากการขนส่งสินค้าทางทะเลเหมือนช่วงวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563-2564
นอกจากนี้ในปี 2567 บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่ๆ (New Business Units) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาว รวมถึงการขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศ โครงการ Bonded Cold Chain Logistics Center ที่ท่าเรือสหไทย และ Self Storage สาขาถนนพระราม 4 ซึ่งจะเปิดทำการภายในไตรมาส 2/2567 รวมถึงบริษัทฯ จะมีการเติบโตของรายได้จากโครงการ JV อื่นๆ ที่ได้มีการจัดตั้งในปี 2566 เช่น บริษัท LEO Sourcing & Supply Chain บริษัท LaneXang Express และ บริษัท Logicam LEO (Cambodia) ที่จะมีการเติบโตด้านรายได้อย่างก้าวกระโดด รวมถึงโครงการ JV และ M&A อีกหลายโครงการที่อยู่ในแผนธุรกิจในปีนี้