บล.ทิสโก้คาดดัชนีหุ้นไทยเดือนธันวาคมอาจปรับขึ้นรับเศรษฐกิจไทยเร่งตัว และเงินกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) จ่อไหลเข้า 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท แต่ปี 2568 หุ้นไทยอาจเผชิญความผันผวนจากการเดินหน้านโยบายของทรัมป์ และการแรงเทขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า คาดว่าช่วงเดือนธันวาคมดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากโมเมนตัมเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้น เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกเดือนตุลาคมที่ปรับตัวขึ้นสะท้อนว่าอุปสงค์ประเทศคู่ค้าหลักกำลังฟื้นตัวดีกว่าคาด เป็นจุดเริ่มต้นของวัฎจักรการกลับมาสต็อคสินค้าในระยะต่อไป
นอกจากนี้ผู้ประกอบการอาจยังเร่งสั่งสินค้าเพื่อตุนเอาไว้ก่อนที่สหรัฐฯ จะเริ่มใช้นโยบายการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่จะเข้ามามากที่สุดในเดือนธันวาคมของทุกปี โดยบล.ทิสโก้คาดว่าเฉพาะเม็ดเงินที่จะไหลเข้าหุ้นไทยจากกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ในปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท
“บล.ทิสโก้คาดหวังเงินกองทุนลดหย่อนภาษีซึ่งโดยปกติจะไหลเข้ามากสุดในเดือนธันวาคมของทุกปีจะช่วยผลักดันดัชนีหุ้นไทยส่งท้ายปีนี้ฟื้นตัวขึ้น สำหรับแนวโน้มปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีไหลเข้ามากกว่าปีที่แล้ว หลัก ๆ จากกองทุน TESG ได้เพิ่มลดหย่อนภาษีจาก 1 แสนบาท เป็น 3 แสนบาท และปรับระยะเวลาการถือครองลดลงจาก 8 ปีเป็น 5 ปี น่าจะช่วยดึงเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น จากการประเมินของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) คาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน TESG ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ อิงจากโครงสร้างการลงทุนในกองทุน TESG ในปัจจุบันที่เป็นกองทุนหุ้น 61%, ตราสารหนี้ 26% และกองทุนผสม 13% บล.ทิสโก้คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท” นายอภิชาติกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไปจะมีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจโลกโดยต้นปีหน้าต้องจับตาการทำงานของทรัมป์ในช่วง 100 วันแรกหลังรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568 โดยในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนทรัมป์กล่าวว่าจะเก็บภาษีศุลกากร 25% ของสินค้านำเข้าทุกประเภทจากแคนาดาและเม็กซิโก รวมทั้งจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% เพื่อแก้ปัญหาผู้อพยพและยาเสพติดตามแนวชายแดน สิ่งนี้เริ่มสร้างความกังวลว่าสงครามการค้าอาจมาเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ปีหน้าจะเป็นปีแรกที่เงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) รวมทั้งสิ้น 2.41 แสนล้านบาทสามารถขายได้ทั้งหมด อาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดในช่วงต้นปีหน้าได้ โดยแรงขายเฉลี่ยล่าสุดในปีนี้อยู่ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อเดือนอย่างไรก็ดี ระดับ SET Index เฉลี่ยในปี 2562 ที่สามารถขายคืนได้ในปีหน้า 2568 ที่ 1,640 จุด อยู่สูงกว่าระดับ SET Index ในปัจจุบันที่ประมาณ 1,430 จุด จะทำให้มีผลขาดทุนอยู่พอสมควร ดังนั้น บล.ทิสโก้มอง SET Index ระดับปัจจุบันอาจไม่ใช่จังหวะขายที่ดีนักสำหรับผู้ถือกองทุน LTF
ในเชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนหุ้นรายตัวมากกว่าจะดูที่ระดับ SET Index เนื่องจากช่วงนี้ให้ภาพที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงอยู่แล้วจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่บางตัว อาทิ DELTA, GULF และ INTUCH บล.ทิสโก้มองการพักฐานของตลาดหุ้นไทยเดือนที่แล้วเป็นจังหวะในการเข้าลงทุน แนะนำธีมหุ้นน่าสนใจดังนี้
1. หุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่คาดจะเป็นเป้าลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษี เด่น AOT, CPALL, MINT และ SCB 2. หุ้นที่กำไรปีหน้าคาดเติบโตดีกว่าตลาด มี Upside จากมูลค่าพื้นฐานมากกว่า 20% AP, GPSC, TU และ 3. หุ้นที่คาดเข้า SET50 ครึ่งแรกปีหน้า COM7 สรุปหุ้นเด่นในเดือนธันวาคม คือ AOT, AP, COM7, CPALL, GPSC, MINT, SCB และ TU แนวรับสำคัญเดือนธันวาคมอยู่ที่ 1,400-1,410 จุด แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,450 จุด 1,470 จุด และ 1,490 จุด ตามลำดับ