แนวโน้มตลาดวันนี้ (7 ต.ค.) บล.อืนโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ฟื้นตัวได้ต่อ และแนวรับบริเวณ 1435 และ 1430 จุด ตามลำดับ ยังรองรับได้ เนื่องจากมองปัจจัยกดดันเริ่มลดลง จากทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางที่สะท้อนในดัชนีระดับหนึ่งแล้ว และเงินบาทที่เริ่มชะลออ่อนค่า ทำให้แรงขายต่างชาติลดลง ด้านแนวต้านอยู่ที่ 1450 และ 1460 จุด ตามลำดับ ประเด็นสำคัญ วันนี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อไทย
ประเด็นสำคัญ
• คลังเสนอปรับกรอบเงินเฟ้อปีหน้าจากเดิม 1-3%เป็น 1.5-3.5% เพื่อให้ ธปท. มีช่องปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้มากขึ้น และจะนัดหารือกรอบบริหารเงินเฟ้อปี 2568 กับธปท. ในปลายต.ค. นี้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปก่อนที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.และประกาศใช้ปี 2568
• สัญญาข้าวสาลีปิดที่ระดับต่ำกว่า 6 ดอลลาร์/บุชเชล เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มิ.ย. 2567 โดยได้รับแรงกดดันจากข่าวอียิปต์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวสาลีรายใหญ่จะเปลี่ยนแปลงสูตรขนมปังไปใช้ข้าวโพดและแป้งข้าวฟ่างมากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการข้าวสาลีลดน้อยลง
• สหรัฐฯ เผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ก.ย. เพิ่มขึ้น 254,000 ตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาด ส่วนอัตราว่างงาน ก.ย. ปรับตัวลงสู่ระดับ 4.1% ต่ำกว่าตลาดคาด บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจซึ่งอาจไม่จำเป็นที่เฟดจะต้องปรับลดดอกเบี้ยลงมากในช่วงที่เหลือของปีนี้
• เงินเฟ้อยุโรปก.ย. ชะลอตัวลงสู่ +1.8%YoY ซึ่งเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% แล้ว คาดทำให้ ECB ลดดอกเบี้ยอีกในการประชุมวันที่ 16-17 ต.ค. นี้
• คณะกรรมาธิการยุโรปมีมติขึ้นภาษีนำเข้า EV จากจีนทำให้อัตราภาษีที่เรียกเก็บสูงสุดเป็น 45% แต่ยังคงเปิดช่องทางกับจีนเพื่อเจรจา โดยเฉพาะประเด็นการกำหนดราคานำเข้าขั้นต่ำ
• สมาคมส่งออกข้าวไทยเผยยอดส่งออกข้าวช่วง 8M67 ทะลุ 6.5 ล้านตัน +24%YoY สร้างรายได้ราว 1.5 แสนลบ. +41%YoY แต่กังวลยอดส่งออกจะชะลอใน 4Q67 เนื่องจากอินเดียจะกลับมาส่งออกอีกครั้ง
• วันที่ 8 ต.ค. มหาดไทยเตรียมเสนอครม. พิจารณาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง ไม่เกิน 7 วัน ครัวเรือนละ 9,000 บาท
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มี Upside จำกัดหลังขาดปัจจัยใหม่และมีความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. ธีม Earning Play สำหรับนักลงทุนระยะกลางที่ต้องการหุ้นพื้นฐานดีที่กำไร 3Q67 คาดมีโมเมนตัมเติบโต YoY และ QoQ เลือก BEM BCH BDMS GULF TRUE
2. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Ratings สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL BCP ADVANC HMPRO
3. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF)
4. ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว จากความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะลุกลามเป็นวงกว้าง โดยประเมินกรอบราคา 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideway โดยมี Upside จำกัดเนื่องจากในประเทศขาดปัจจัยหนุนใหม่เพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างรอความชัดเจนเรื่องทิศทางดอกเบี้ยของ ธปท. และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งอาจถูกหักล้างด้วยความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะสั้น อีกทั้งตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ในภาวะ Risk-off หลังกังวลความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง จึงทำให้ Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยภายนอกมองว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะไม่ส่งผลต่อตลาดการเงินมากนัก โดยคาดทิศทางดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
Top picks
BBL: เป็นหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก Valuation ในแง่ PBV/ROE น่าสนใจที่สุด และความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ ขณะที่ 3Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโต 5%YoY และ 1%QoQ แรงหนุนจากการตั้งสำรอง (Credit Cost) ที่ลดลง รวมทั้งสินเชื่อและ non-NII (กำไรจากเครื่องมือทางการเงิน) ยังมีการเติบโต
CPF: 3Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหาร แรงหนุนจากราคาสัตว์บกต่างประเทศและในประเทศที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมี Upside มากที่สุดในกลุ่มจากวงจรการปรับลดดอกเบี้ยที่กำลังจะมาถึง และจะมี Downside จากการขึ้นค่าแรงน้อยกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน ขณะที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า