แนวโน้มตลาดวันนี้ (18 ก.พ.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET จะรีบาวด์ได้บ้าง หลังลงแรงเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม ตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน และการเติบโตเศรษฐกิจที่ต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาค ทำให้ตลาดไทยขาดแรงดึงดูด ส่งผลให้มองการฟื้นตัวยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1265 และ 1272 จุด ตามลำดับ ด้านแนวรับอยู่ที่ 1245-1250 จุด หากต่ำกว่าเป็นลบต่อ
ประเด็นสำคัญ
• สภาพัฒน์ฯ เผย GDP 4Q67 ขยายตัว 3.2% กว่าที่เราและตลาดคาดไว้ และทั้งปีขยายตัว 2.5% ขณะที่ปี 2568 คาดเติบโตได้ 2.3-3.3% จากภาครัฐจ่ายเพิ่ม ท่องเที่ยวและส่งออกฟื้น (รวมผลจากดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว) แนะจับตานโยบายสหรัฐและภาระหนี้สินครัวเรือน
• สภาพัฒน์มองเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ดีและมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐอย่างเพียงพอและมองการลดดอกเบี้ยยังไม่จำเป็น เห็นควรใช้ในเวลาจำเป็นและเลี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจผันผวน
• BOI แจงนิสสันเดินหน้าลงทุนในไทย ลุยรวมสายการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการต้นทุน และเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่บุกตลาดไฮบริด
• สรรพสามิตอยู่ระหว่างการศึกษาการเก็บภาษีความเค็ม เบื้องต้นจะคิดตามปริมาณโซเดียมและส่วนประกอบที่ทำลายสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ที่จะพิจารณาเป็นกลุ่มแรก คือ ขนมขบเคี้ยว ขนมกรุบกรอบ
• ร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex ได้ผ่านการปรับปรุงโดยกฤษฎีกาแล้วและอยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็น ถึงวันที่ 1 มี.ค. ก่อนนำเสนอครม. โดยกำหนดพื้นที่คาสิโนต้องไม่เกิน 10%
• ญี่ปุ่นเผย GDP 4Q67 (ประมาณการครั้งแรก) เติบโต 2.8%YoY และ 0.7%QoQ สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ หนุนความเป็นไปได้ที่ BoJ ลดดอกเบี้ยสู่ 0.5% ส่งผลให้เงินเยนเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าวานนี้
• ปธน. สี จิ้นผิง ได้เข้าประชุมกับเหล่าผู้ประกอบการชั้นนำจีน สะท้อนแรงสนับสนุนที่มากขึ้นต่อเอกชน โดยมีผู้เข้าร่วม เช่น Alibaba Group, Deepseek, Huawei, Xiaomi และ Meituan เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด มีแนวต้านที่บริเวณ 1320 จุด ปัจจัยต่างประเทศมีประเด็นติดตามอย่างรายงานการะประชุมของ FOMC ซึ่งคาดจะเป็นลบต่อบรรยากาศลงทุน หลังประธานเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ ที่คาดจะออกมาไม่ดีนัก หลังจาก ปธน. สหรัฐฯ ยังมีท่าทีดำเนินสงครามการค้าต่อทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในหลายส่วน ส่วนปัจจัยในประเทศมีประเด็นติดตามอย่างการประกาศงบ 4Q67 ของบจ. Real Sector ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้าย ส่วน GDP 4Q67 ของไทยที่คาดฟื้นตัวต่อเนื่องและเติบโตได้จากฐานต่ำปีก่อน และ 1Q68 คาดจะเติบโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ยังเร็วเกินไปที่จะมีการปรับ GDP ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily top picks
BBL: มองมีโอกาสที่จะมีการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น ขณะที่ Valuation ยังถูกสุดในกลุ่มธนาคาร โดยซื้อขาย PER และ PBV ปี 2568F ต่ำสุดที่ 6.2x (เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 8x) และ 0.48x (เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 0.8x) ตามลำดับ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำสุดในกลุ่มฯ
CPALL: 4Q67 คาดจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากเข้าสู่ High Season และยอดขายสาขาเดิมยังเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งมาร์จิ้นยังกว้างขึ้นต่อเนื่องจากกมียอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้น ศก. เพิ่มเติมของรัฐบาลและการปรับลดดอกเบี้ยจะเพิ่ม Upside ให้กับประมาณการ