PLUS เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลังของปี 2566 นี้ เชื่อเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic และแนวโน้มการส่งออกคาดว่ายังแข็งแกร่งต่อเนื่อง พร้อมเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ เปิดงบ Q2/66 มีรายได้รวม 428.1 ลบ. กำไรสุทธิอยู่ที่ 61.6 ลบ. คิดเป็นอัตราส่วนกําไรสุทธิร้อยละ 14.4 ของรายได้รวม
นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 นี้ บริษัทคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic (สายการผลิตขวดพลาสติก PET) และแนวโน้มการส่งออกคาดว่ายังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่วนแนวโน้มราคาต้นทุนวัตถุดิบมองว่าไม่ได้แตกต่างจากปีที่ผ่านมานอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3/2566 บริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยบวกให้ผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัว อีกทั้งมีปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ประกอบกับแผนการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของลูกค้าในสหรัฐฯ มีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นส่งผลให้คำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
“บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic ล็อตแรกภายในไตรมาส 3/2566 โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อของลูกค้ารองรับกำลังการผลิตในสายการผลิตขวด PET ไว้บางส่วนแล้ว จะหนุนรายได้ให้เติบโตและต้นทุนทรงตัว” นายพลแสง กล่าว
สำหรับผลประกอบการในงวดไตรมาส 2/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 428.1 ล้านบาท ลดลงจํานวน 15.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากลูกค้าทวีปอเมริกาอยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขการขยายช่องทางการจัดจําหน่าย ลูกค้าจึงมีการชะลอการนําเข้าสินค้า จึงทําให้แผนการขายไปทวีปอเมริกายังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนการขายสินค้าในภูมิภาคอื่นๆ ช่วงไตรมาสที่ 2 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าทางการตลาด โดยเฉพาะทวีปยุโรปมีการเติบโตสูงถึง 245.6%, ทวีปออสเตรเลียเติบโต 162.1%, ตะวันออกกลางโต 39.4%, ทวีปเอเชียเติบโต 37.2% และทวีปแอฟริกาเติบโต 26.4% ทําให้รายได้จากการขายสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นจํานวน 179.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 74.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ สําหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2566 อยู่ที่ 61.6 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนกําไรสุทธิร้อยละ 14.4 ของรายได้รวม ลดลงจํานวน 15.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 20.3 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน