บอร์ด บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ อนุมัติโครงการซื้อหุ้น วงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ปี 67 พุ่งแตะ 2,000 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (SFLEX) ผู้ผลิต และจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนชั้นนำในประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2567 ประชุมเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้น (Treasury Stock) เพื่อบริหารทางการเงินภายในวงเงินไม่เกิน 50,000,000 บาท หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 2.32% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้แบบ Organic Growth จากธุรกิจหลักอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทฯ มีการพัฒนาผลิตภัณท์ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลาย ขณะเดียวกันแนวโน้มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภค-บริโภคขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการใช้งานบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทร่วมทุน "บริษัท สตาร์ยูเนี่ยน แพคเกจจิ้ง จำกัด" จะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ประมาณไตรมาส 4/2567 อีกทั้งมีแผนการรับรู้กำไรจากการลงทุน Starprint Vietnam JSC ในประเทศเวียดนามอีกด้วย ทำให้เชื่อมั่นว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมกับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
"โครงการซื้อหุ้นคืน ถือเป็นโครงการที่ดีในการบริหารสภาพคล่องให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ ยังมองว่าภาพรวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้สินค้าอุปโภค-บริโภค พร้อมกันนี้บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ศึกษาเมกะเทรนด์บรรจุภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างความพึงพอใจสูงสุด ทำให้เชื่อมั่นว่าธุรกิจของ SFLEX จะขยายตัวได้อีกมากจากแผนกลยุทธ์ข้างต้น และสามารถสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตแข็งแกร่งในอนาคต" ดร.สมโภชน์ กล่าว
อนึ่ง ผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,820.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,696.1 ล้านบาท โดยมีกำไรขั้นต้น 429.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรขั้นต้น 210.9 ล้านบาท หากพิจารณาในส่วนของกำไรสุทธิสำหรับปีอยู่ที่ 184.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 234.5% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55.1ล้านบาท