”กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค” ฟันกำไร Q3/66 ที่ 48.50 ลบ. เพิ่มขึ้น 22.44% QOQ ทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส คุมต้นทุนเยี่ยม ราคาวัตถุดิบลด ติดโซลาร์เซลล์ลดค่าไฟ ดันมาร์จิ้นปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 48.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 22.44% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีไรสุทธิ 39.61 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการทำจุดสูงสุดใหม่ของกำไรสุทธิรายไตรมาสของบริษัทฯ
ในขณะที่กำไรสุทธิช่วง 9 เดือนของปี 2566 อยู่ที่ 121.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.54 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 23.96% จากช่วง 9 เดือนของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 98.23 ล้านบาท
โดยที่กำไรสุทธิของบริษัทฯที่เพิ่มขึ้นทั้งในรายไตรมาส และช่วง 9 เดือนของปี 2566 นั้นมีสาเหตุหลักจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง และการจัดส่งเสริมการขายในแต่ละช่วงเวลาส่งผลให้กำไรขั้นต้น และกำไรสุทธิของบริษัทฯดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่บริษัทฯ ใช้เทคโนโลยีระบบควบคุมการผลิตแบบ Industry 4.0 โดยลงทุนเครื่องจักรอัตโนมัติ ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุนได้ดี รวมถึงบริษัทฯยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร ต้นทุนทางการเงิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงค่าไฟฟ้าที่ลดลงเล็กน้อย หลังติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์เสร็จบางส่วนในไตรมาส 3 ของปีนี้ ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 อยู่ที่ 17.26% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ 13.78% และอัตรากำไรสุทธิช่วง 9 เดือนของปี 2566 อยู่ที่ 15.07% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 13.00%
ในขณะที่รายได้จากการขายของบริษัทฯในช่วง 9 เดือนของปี 2566 อยู่ที่ 808.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 52.48 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 6.94% โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทฯจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯยังคงเป็นสินค้ามาตรฐานเคเจแอล ตู้ไซส์มาตรฐาน รางไวร์เวย์ และพูลบ๊อกซ์ ที่มีสัดส่วนถึง 70.72%
“เรายังคงทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นผลมาจากทั้งการที่มียอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลง รวมถึงการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของเราก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน และที่สำคัญเรายังคงยึดมั่น และรักษาแนวทางในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตด้วยการพัฒนาสินค้า และบุคลากร โดยใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมในอนาคต” นายเกษมสันต์กล่าว