แนวโน้มตลาดวันนี้ (3 ก.ย.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ยังอยู่ในช่วงพักตัวเพื่อลดความร้อนแรง และแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติชะลอลงจากเงินบาทชะลอการแข็งค่า อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังมีสัญญาณที่ดี และปัจจัยหนุนการลดดอกเบี้ยเฟด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ทำให้คาดแนวรับ 1350 และ 1345 จุด ตามลำดับ ยังรองรับได้ ด้านแนวต้านอยู่ที่ 1360 และ 1366 จุด
ประเด็นสำคัญ
• รมว. คมนาคมเผยจะผลักดันโครงการแลนด์บริจด์ให้เกิดขึ้นภายในรัฐบาลนี้ โดยกำลังอยู่ระหว่างจัดทำพ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ และคาดจะเสนอต่อสภาฯ ได้ในก.ย. 68 และคาดเริ่มก่อสร้างใน 3Q69
• กนอ. เผยปีงบฯ 2567 สามารถขาย/เช่าพื้นที่นิคมได้ 6,174 ไร่ สูงสุดในประวัติการณ์เป็นปีที่สองติดต่อกัน สะท้อนอุปสงค์ที่มีอย่างต่อเนื่อง
• จีนขู่ตอบโต้ทางศก. อย่างรุนแรงต่อญี่ปุ่น อาทิ จำกัดเข้าถึงแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการผลิตยานยนต์ หากญี่ปุ่นยกระดับมาตรการควบคุมการขายอุปกรณ์ผลิตชิปแก่บริษัทจีน ซึ่งจะทำให้ความพยายามของสหรัฐฯ ในการสกัดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นเรื่องยาก
• เมื่อวานนี้เรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำ ซึ่งได้แก่เรืออัมจาด (Amjad) ซึ่งติดธงชาติซาอุดีอาระเบียและเรือบลูลากูน วัน (Blue Lagoon I) ซึ่งติดธงชาติปานามาได้ถูกโจมตีในทะเลแดงนอกชายฝั่งของเยเมน
• รอยเตอร์เผยการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกส.ค. ลดลง 340,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 26.36 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ม.ค. เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการลดกำลังการผลิตในลิเบียและการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจของโอเปกพลัส
• Huawei Technologies เตรียมจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันที่ 10 ก.ย. ซึ่งจะเกิดหลังงานเปิดตัว iPhone 16 ของ Apple ในวันที่ 9 ก.ย.
• BYD เผยยอดขายรถยนต์ ส.ค. ทำสุดสูงสุดในประวัติการณ์ 370,854 คัน หรือเพิ่มขึ้น 30%YoY หนุนจากยอดขาย Hybrid ที่ขยายตัว 48% และมีสัดส่วนราว 2 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมด เทียบกับ BEV ที่ขยายตัว 12%
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideway Up จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่น่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังเริ่มมีความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองไทยและการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปลาย 3Q-4Q67 บวกกับ มอง ธปท. เปิดโอกาสเตรียมลดดอกเบี้ยได้มากขึ้น รวมไปถึงกระแส Fund Flow คาดยังไหลเข้าในตลาด EM ต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินบาทและเอเชียแข็งค่าขึ้น โดยมองเม็ดเงินลงทุนจะไหลออกจากกลุ่มพลังงาน ปีโตรเคมี สื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ เข้าสู่กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก รับเหมาฯ และการแพทย์ ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยคาดดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการของสหรัฐและจีนจะชะลอตัวลง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
Top Picks
CPALL: มองกำไร 2H67 จะเติบโต YoY เด่นสุดในกลุ่มฯ จากการเติบโตที่แข็งแกร่งจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้นทั้งจากธุรกิจ CVS และ CPAXT นอกจากนี้ CPALL ยังเป็นอีกหุ้นที่คาดได้รับประโยชน์จากการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ (ซึ่งยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ) ทั้งนี้วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 60.75 บาท
CKP: ช่วงสั้นมองได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวลดลง และโมเมนตัมกำไร 3Q67 ยังมีแนวโน้มปรับตัวดีต่อเนื่องจากเป็นฤดูฝน ทำให้ปริมาณน้ำสำหรับการผลิตไฟฟ้าคาดว่าจะสูงขึ้นสูงสุดในรอบปี โดยล่าสุดปริมาณการผลิตไฟฟ้าและปริมาณน้ำไหลเข้า ก.ค. เพิ่มขึ้น YoY ทั้งเขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนน้ำงึม 2 ทั้งนี้วันนี้แนะนำราคาซื้อไม่เกิน 3.70 บาท