บล.ทิสโก้ชี้ดัชนีหุ้นไทยอาจทะลุ 1,405 จุด จาก 5 สัญญาณบวก คือ 1.อัตราดอกเบี้ยไทยมีแนวโน้มปรับลง 2. ตลาดเริ่มยอมรับว่าการลดดอกเบี้ยปีนี้จะเท่ากับที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประเมินไว้ 3. ตลาดหุ้นจีนและเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวต่อเนื่อง 4.การยกระดับการกำกับดูแลการขายชอร์ต (Short Selling) และการใช้คอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขาย(Program Trading) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยเพิ่มเสถียรภาพระยะยาว และ 5. แนวโน้มการหั่นประมาณการ SET EPS ผ่านจุดต่ำไปแล้ว
นายอภิชาติ ผู้บเรรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า หลังแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปีนี้ถูกหั่นลง และกำไร บจ.ในไตรมาสที่ผ่านมาส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) กำลังตั้งหลักใหม่ มีกรอบเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,350-1,405 จุด อย่างไรก็ตาม บล.ทิสโก้เริ่มเห็น 5 สัญญาณเชิงบวกที่น่าจะช่วยหนุน SET Index ฟื้นตัวจนสามารถทะลุออกจากกรอบด้านบนที่ 1,405 จุดได้
สำหรับประเด็นบวกที่หนุนหุ้นไทย คือ
1.อัตราดอกเบี้ยไทยมีแนวโน้มปรับลง แม้ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ถูกหั่นลงมาที่ระดับประมาณ 3% แต่ยังเป็นอัตราเติบโตดีสุดในรอบ 5 ปี โดยการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 คาดว่าเกิดขึ้นได้ภายในเดือนพฤษภาคมจะเป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในนี้ ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่คาดว่าจะลดลง ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสจะถูกปรับลดลง 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งการลดดอกเบี้ยลงทุก ๆ 0.25% จะช่วยเปิดโอกาสการปรับขึ้น (Upside) ราว 45 จุด หรือ +3% สำหรับดัชนีหุ้นไทย
2. ตลาดเริ่มยอมรับว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะลดดอกเบี้ยลงได้ช้า โดยปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยครั้งแรกของ FED จะเกิดขึ้นจากเดิมเดือนพฤษภาคมเป็นเดือนมิถุนายน และโอกาสการลดดอกเบี้ยในปีนี้ลดลงเหลือเพียง 3 ครั้ง เท่ากับ Dot Plot ของ FED ในเดือนธันวาคมและช่วงต้นปีนี้ที่ตลาดคาดจะลดมากถึง 6 ครั้ง
3. ตลาดหุ้นจีนและเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังตรุษจีน ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขานรับทางการจีนทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนถือเป็นความหวังเชิงบวกของตลาดหุ้นไทยด้วยเพราะนอกจากเศรษฐกิจไทยจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนในระดับสูงแล้ว ภายหลังการระบาดของ COVID-19 หรือนับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนและไทยมีความสัมพันธ์เชิงบวกมากขึ้น บล.ทิสโก้แนะนำให้ติดตามการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ในวันที่ 5 มีนาคมนี้ เพื่อกำหนดเป้าหมายและทิศทางเศรษฐกิจในปี2567
4.การยกระดับการกำกับดูแลการขายชอร์ต (Short Selling) และการใช้คอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขาย (Program Trading) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ บล.ทิสโก้มองมาตรการที่ออกมาใหม่ของตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพตลาดในระยะยาว และน่าจะกระตุ้นแรงซื้อคืนในตลาดในระยะสั้น ทั้งนี้ บล.ทิสโก้เริ่มเห็นแรงขายของต่างชาติชะลอตัวสลับกับมีการซื้อคืน จนทำให้พลิกกลับมามียอดซื้อสุทธิสะสมเกือบ 3,000 ล้านบาท เป็นเดือนแรกในรอบ 1 ปี สอดคล้องกับกระแสเงินทุนไหลเข้าที่กระจายไหลเข้าตลาดหุ้น EM ในภูมิภาคมากขึ้นครบทั้ง 7 ตลาด (เกาหลีใต้, ไต้หวัน, อินเดีย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และไทย) โดยไหลเข้าในเดือนกุมภาพันธ์ราว 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ และเป็นการไหลเข้าเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน
5. การปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วแม้ว่าการประกาศงบไตรมาสที่ผ่านมาแม้ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด แต่ด้วยกำไรไตรมาส 4/2566 ของหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวถูกล้างบางจากผลขาดทุนในรายการพิเศษจำนวนมาก ทำให้การหั่นประมาณการ EPS ในปีนี้และปีหน้าอาจผ่านจุดต่ำไปแล้ว เริ่มเห็นสัญญาณประมาณการ EPS ถูกปรับขึ้นมาอ่อน ๆ แล้วในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ หุ้นบางตัวบลเห็นสัญญาณการปรับขึ้นประมาณการกำไรและเป้าหมายราคาหุ้น น่าจะมีโอกาสปรับตัวในทิศทางที่ดีกว่าตลาด (Outperform)
นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ยังชอบหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศและท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดี ผสานกับหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยสรุป หุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือน มี.ค. คือ BDMS, CENTEL, CPALL, CRC, MINT, SCB, TTB และTU ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1370-75, 1350 และ1405, 1430-40 จุด ตามลำดับ