บลูเบลล์ ชูจุดขายตัวจริงด้านการลงทุน รายได้หุ้นกู้ กองทุนรวม พุ่งต่อเนื่อง มั่นใจสิ้นปีปั้นยอดจำหน่ายหุ้นกู้ 13,500 ล้านบาท รักษาอันดับ Top 5 เผยผลสำเร็จจากคัดสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพและคำแนะนำลงทุน ตอกย้ำศักยภาพที่แข็งแกร่งด้วยรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ชี้เทรนด์ตลาดหุ้นกู้ปี 2568 ยังน่าสนใจสำหรับการลงทุน จากการลดดอกเบี้ยของ ธปท. ด้านกองทุนรวมเชียร์การลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ และ เอเชีย คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี แนะจัดพอร์ตการลงทุน
นางสาวนริสรา ชัยวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมที่ 250 ล้านบาท จากการดำเนินธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้คุณภาพ กองทุนรวม และผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ ทั้งนี้ บลูเบลล์ก้าวขึ้นเป็นอันดับที่ 5 ของบริษัทที่มียอดจำหน่ายหุ้นกู้สูงสุดของบริษัทหลักทรัพย์ฯตามข้อมูลจากสมาคมตราสารหนี้ไทย และมีแนวโน้มจะรักษาอันดับนี้จนถึงสิ้นปี คาดยอดจำหน่ายหุ้นกู้ปีนี้ 13,500 ล้านบาท จากเป้า 15,000 ล้านบาท สำหรับ AUA (Assets Under Administration) ของกองทุนรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม เติบโตขึ้น 32% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 50% ภายในสิ้นปี
“ความสำเร็จของบลูเบลล์มาจากการคัดสรรผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีคุณภาพดี การให้คำแนะนำการลงทุนที่ยอดเยี่ยม และการขยายฐานที่ปรึกษาการลงทุนที่มีประสบการณ์สูง นอกจากนี้ ยังเสริมความแข็งแกร่งด้วยธุรกิจวาณิชธนกิจที่รองรับลูกค้าหลากหลายประเภท ทำให้บลูเบลล์สามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้อย่างครบถ้วน”
ทั้งนี้ บลูเบลล์ได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของรายได้ตั้งแต่เริ่มดำเนินการในเดือนกรกฎาคม 2565 โดยมีรายได้ 68.18 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 133.29 ล้านบาทในปี 2566 ก่อนที่จะเติบโตต่อเนื่องเป็น 216.43 ล้านบาทภายในเดือนตุลาคม 2567 โดยมาจากแหล่งรายได้การจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 103.44 ล้านบาท กำไรจากธุรกรรมตลาดรอง 24.28 ล้านบาท รายได้จากกองทุนรวม 55.71 ล้านบาท บริการ Filing 13.82 ล้านบาทบริการผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ 10.19 ล้านบาท บริการวาณิชธนกิจ 5.49 ล้านบาท อื่นๆ 3.50 ล้านบาท และคาดการณ์รายได้รวมที่ 250 ล้านบาทในปีนี้ แสดงถึงอัตราการเติบโตที่ 95.48% ในปี 2566 และ 77.80% ในปี 2567
นางสาวนริสรา กล่าวว่าตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2568 น่าจะมีแนวโน้มที่คึกคักและได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 2.25% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 2.00% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ส่งผลให้แนวโน้มความต้องการหุ้นกู้ในตลาดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจะต้องการล็อกผลตอบแทนจากดอกเบี้ยในระดับสูง ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลงในระยะถัดไป จึงทำให้การลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอายุยาวและคุณภาพดีมีโอกาสที่จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ท่าทีของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งค่อนข้าง “Dovish” (มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย) น้อยกว่าธนาคารกลางในประเทศหลักอื่น ๆ ทำให้กระแสเงินทุนจากต่างประเทศเริ่มไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 และมีแนวโน้มจะไหลเข้าอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นกู้ของไทยคึกคักมากยิ่งขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นกู้ที่แนะนำคือการเพิ่มระยะเวลาลงทุนในตราสารหนี้ให้ยาวขึ้น เช่น เลือกลงทุนในหุ้นกู้อายุ 3-5 ปี เพื่อให้นักลงทุนสามารถล็อกผลตอบแทนจากดอกเบี้ยในระยะยาว และได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง (ทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวสูงขึ้น) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถขายทำกำไรได้ในอนาคต ทั้งนี้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกู้ Investment Grade หรือ Non-Rated ที่มีคุณภาพสูงและมีอายุยาว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนผ่านตลาดแรกหรือตลาดรอง
ทั้งนี้ ทางบลูเบลล์มีบริการหุ้นกู้ในทั้งตลาดแรกและตลาดรอง พร้อมด้วยทีมวิเคราะห์หุ้นกู้ที่เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำเชิงลึกและเป็นประโยชน์ เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ
สำหรับกองทุนรวม นางสาวนริสรา กล่าว ปัจจัยหนุนสำคัญสำหรับการลงทุนในกองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์อื่นๆ มาจากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักทั่วโลก เช่น Fed และ ECB ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน หนุนให้กำไรของบริษัทมีแนวโน้มดีขึ้น และส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ
โดยหนึ่งในไฮไลท์สำคัญคือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2568 จากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้ม AI ที่แข็งแกร่ง แม้เศรษฐกิจจะมีการเติบโตที่ชะลอลงเล็กน้อย
จากแรงกดดันในตลาดแรงงาน แต่การชะลอตัวดังกล่าวคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การที่ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% ในการประชุมเดือนกันยายนและพฤศจิกายนที่ผ่านมาถือเป็นการตัดสินใจที่ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคแรงงานได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งผลการเลือกตั้งที่พรรค Republican ชนะยังเป็นสัญญาณให้คาดการณ์ถึงนโยบายการคลังที่ผ่อนคลายขึ้น ซึ่งพร้อมสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะถัดไป
ด้านเศรษฐกิจในเอเชีย หลายประเทศยังคงมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและน่าจับตามอง เช่น อินเดีย เกาหลีใต้ และเวียดนาม โดยเฉพาะประเทศจีนที่แม้อาจเผชิญแรงกดดันจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นทางการเงินและการคลังที่ธนาคารกลางและรัฐบาลจีนนำออกมาใช้เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียในปี 2568 มีแนวโน้มที่ดี
อย่างไรก็ตาม การจัดพอร์ตการลงทุนในกองทุนรวมและการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายยังคงเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำให้ผู้ลงทุนจัดสรรพอร์ตโดยมีการกระจายการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นและกองทุนรวมตราสารหนี้ในสัดส่วนที่เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้
นางสาวนริสรา กล่าวถึง ทิศทางบลูเบลล์ในปี 2568 ว่า บลูเบลล์ตั้งเป้าหมายสำคัญในการขยายทีมและมุ่งเน้นการเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาศักยภาพของทีมที่ปรึกษาการลงทุน ทีมที่ปรึกษาการลงทุนอิสระ รวมถึงการเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถนำเสนอข้อมูลและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมศักยภาพการแข่งขัน ขยายฐานธุรกิจ และสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมการเงิน แนวคิดนี้ผลักดันให้ทีมงานก้าวเดินท้าทายสู่การสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เพื่อให้บลูเบลล์เป็นที่หนึ่งในใจของ
นักลงทุน