แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (14 พ.ค.) บล. อืนโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินตลาดยังขาดปัจจัยใหม่ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี และนักลงทุนรอติดตามประเด็นสำคัญในวันพุธนี้ สำหรับตัวเลข GDP ไทย ในไตรมาส 1 และตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐในเดือน เม.ย. ทำให้คาดดัชนียังเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบ โดยกรอบบนมีแนวต้านที่ 1380-1385 จุด ส่วนกรอบล่างมีแนวรับอยู่ที่ 1365 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ปธน. โจ ไบเดน เตรียมประกาศมาตรการภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสัปดาห์หน้า ซึ่งส่วนใหญ่คงอัตราภาษี เว้นแต่สินค้าที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ ที่จะปรับขึ้นภาษีสูงกว่าเดิมถึง 4 เท่า ซึ่งอาจทำให้จีนออกมาตรการตอบโต้
• Fed สาขานิวยอร์กรายงานผลสำรวจตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อ เม.ย.ของผู้บริโภคสหรัฐในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 3.3% สูงสุดนับตั้งแต่ พ.ย. 2566 และเพิ่มขึ้นจาก 3.0% ที่คาดการณ์ใน มี.ค.
• ก. คลังของจีนเตรียมจำหน่ายพันธบัตรอายุไถ่ถอนยาวนานพิเศษวงเงิน 1 ล้านล้านหยวน เป็นการจำหน่ายพันธบัตรครั้งที่ 4 ในรอบ 26 ปี เพื่อพยุงศก. ทำให้คาดว่ารัฐบาลจีนจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการคลัง
• ราคาหุ้น Apple ปรับขึ้น 1.8% หลังมีรายงานว่าApple ใกล้บรรลุข้อตกลงกับ OpenAI ในการใช้ฟีเจอร์ ChatGPT ในผลิตภัณฑ์ iPhone
• สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้แทนหอการค้าจังหวัด และตัวแทนสมาคมการค้า 94 แห่ง เข้ายื่นหนังสือคัดค้าน รมว.แรงงาน แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าขึ้นจ้างขั้นต่ำ 400 บ. ต่อวันทั่วปท. พร้อมยื่นข้อเสนอก่อนประชุมไตรภาคีวันนี้
• เครดิตบูโร ระบุหนี้ครัวเรือนไทยปัจจุบันอยู่ที่ 91.3% ของ GDP มีความอันตรายต่อระบบ ศก.โดยข้อมูลหนี้สินครัวเรือน 1Q67 มีมากถึง 13.64 ล้านลบ. ไม่นับรวมหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์และหนี้กยศ. ซึ่งเป็น NPL 8% ของหนี้รวม โดยมากที่สุดเป็นหนี้เสียรถยนต์
• ประชุม ครม. วันนี้ คาด ก. คลัง จะนำเรื่องการแก้ไขกฎหมายจัดเก็บ VAT 7% สำหรับสินค้าที่สั่งซื้อออนไลน์นำเข้าจาก ตปท. ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บ. เพื่อพิจารณาอนุมัติ
ตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบ โดยให้น้ำหนักกับการติดตามโค้งสุดท้ายของการประกาศผลประกอบการ 1Q67 ของกลุ่ม Real Sector ในสัปดาห์นี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นธีม Earnings Play สำหรับเก็งกำไรผลประกอบการ 1Q67 ซึ่งคาดจะเติบโตดี YoY และจะประกาศในสัปดาห์นี้ อีกทั้งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นไม่มาก เลือก AOT BDMS BEM ERW MINT BCH OSP
2) สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรในหุ้นคาดมีโมเมนตัมกำไร 2Q67 เติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ เลือก BEM KCE HMPRO THRE TIDLOR
3) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง และรายงานสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งยังเป็นทิศทางตามฤดูกาล ในกรณีฐานที่เป็นสงครามเงา ราคาน้ำมันดิบ Bent จะอยู่ในระดับที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้นการมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลาง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ โดยยังให้น้ำหนักกับการติดตามโค้งสุดท้ายของการประกาศผลประกอบการ 1Q67 ของกลุ่ม Real Sector ที่จะทยอยออกมาในสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะยังเห็นภาพการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ช้า ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐและยูโรโซนที่จะประกาศออกมาคาดยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลง ซึ่งอาจกดดันตลาดการเงินในช่วงสั้นได้ แต่อย่างไรก็ดี ภาพการผลิตของจีนคาดจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
Top Picks
CPF 1Q67 พลิกมีกำไรปกติ 532 ลบ. ดีกว่าคาด ส่วน2Q67 คาดกำไรโต QoQ จากราคาสัตว์บกปรับตัวดีขึ้น 2Q67TD ในไทยและเวียดนาม ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2567 จาก 1 พันลบ. สู่ 6 พันลบ. เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายลดลง และส่วนแบ่งกำไรที่ขึ้น
AOT 2QFY67 (ม.ค.-มี.ค. 67) คาดกำไรปกติที่ 5.8 พันลบ. เพิ่มขึ้น 203%YoY และ 25%QoQ ขณะที่ปี FY2567 (ต.ค. 66 – ก.ย. 67) คาดกำไรจะกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง คาดกำไรปกติจะเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดสู่ 2.3 หมื่นลบ. อิงกับจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ 75.6 ล้านคน (90% ของระดับก่อนเกิดโควิด-19)