Market

InnovestX  คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1400-1420 จุด
15 ม.ค. 2567

 ทิศทางหุ้นไทย เปิดต้นสัปดาห์ยังไร้ปัจจัยใหม่หนุน ตัวเลขเศรษฐกิจจีน - สหรัฐไม่สดใส สัญญาน้ำมันดิบเป็นบวก  ไทยจ่อปรับตารางบินเพิ่ม 30-40% รับท่องเที่ยวฤดูร้อน หลังยกเว้นวีซ่าจีน แลยุทธลงทุนแนะเลือกหุ้นที่มีข่าวหนุน ชู BCP  HMPRO 

 

 แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (15 ม.ค.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์  มอง SET เริ่มมี downside จำกัด โดยมีแนวรับที่ 1406 และ 1400 จุด ตามลำดับ เป็นจุดรองรับ อย่างไรก็ตามตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน และความไม่แน่นอนเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือน มี.ค. ทำให้คาดว่าการฟื้นตัวยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1420 จุด แต่หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณบวก

 

ประเด็นสำคัญ

• ก. อุตสาหกรรมสั่งการให้กรมโรงงานฯ แก้ไขกฎหมายให้การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างแก้ไข คาดมีผลบังคับใช้ปีนี้

 

• ก. คมนาคมสั่ง กพท. ปรับตารางบินเพิ่ม 30-40% รับท่องเที่ยวฤดูร้อน คาดมาตรการยกเว้นวีซ่าจีนหนุน-การบินโตปกติช่วงปลายปีนี้

 

• ก. พลังงาน ระบุแผนงานปีนี้ปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติ คาดรักษาระดับราคาพลังงานทั้งปี ลดราคาน้ำมัน-ก๊าซ-ไฟฟ้า ยกร่างกฎหมายสร้างความชัดเจน

 

• ดัชนี PPI ทั่วไป ธ.ค. ของสหรัฐ +1.0%YoY และ -0.1%MoM ต่ำกว่าคาด ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ธ.ค. +1.8%YoY และทรงตัว MoM ต่ำกว่าคาด ทำให้ความคาดหวังว่าที่ Fed จะปรับลด ดบ. ลดลง

 

• สัญญาน้ำมันดิบ WTI +0.92%DoD Brent +1.14%DoD จากความตึงเครียดในทะเลแดงอาจกระทบอุปทานน้ำมัน หลังจากที่สหรัฐและอังกฤษใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน

 

• นายไล่ชิงเต๋อ จากพรรค DPP ซึ่งสนับสนุนอำนาจอธิปไตยของไต้หวันชนะการเลือกตั้งเป็น ปธน. ไต้หวันเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 67 ด้วยเสียงสนับสนุนมากกว่า 5.5 ล้านเสียง คิดเป็น 40% ของผู้ที่มาลงคะแนน ขณะที่จีนกร้าวจะไม่ยอมแพ้ในการบรรลุการรวมชาติใหม่

 

• Citi Group เตรียมเลิกจ้าง พนง. 2 หมื่นคนในอีกสองปีข้างหน้า หลัง 4Q66 ขาดทุนสุทธิ 1.8 พันล้านเหรียญ แย่สุดในรอบ 15 ปี

 

กลยุทธลงทุน  ในช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ซึ่งคาดตัวเลขเศรษฐกิจจีน (GDP 4Q66) และสหรัฐ (ยอดขายปลีกและยอดขายบ้านมือสอง) ยังออกมาไม่สดใสมากนัก อย่างไรก็ดี ความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนและลดดอกเบี้ยของเฟดคาดจะช่วยลดแรงกดดันลงได้บ้าง ภายใต้ในประเทศที่ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”

 

Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET จะได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนและสหรัฐที่จะออกมายังไม่สดใสมากนัก แต่ยังมีความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนและลดดอกเบี้ยของเฟดช่วยลดแรงกดดันลงได้บ้าง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ ดังนี้

 

1) หุ้นที่ราคายัง Laggard โดยตั้งแต่ต้นปี 2566-ปัจจุบัน ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงแรงกว่า SET จนทำให้ PER และ PBV ปี 2567 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ขณะที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2567 และยังมี Upside น่าสนใจ เลือก AOT BEM HMPRO GULF ZEN

 

2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy e-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 หมื่นบาทเริ่มในวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567 ได้แก่ CRC MINT ADVANC

 

3) นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการจ่ายปันผลดี โดยคาดให้ Div. Yield (หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) จากกำไรปี 2566 สูงเกิน 5% และคาดจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 67 เลือก AP TISCO KTB

 

ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง  ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร(CPF GFPT BTG)

 

โฟกัสหุ้นวันนี้

BCP ช่วงสั้นได้ sentiment หนุนจากราคาน้ำมันปรับขึ้นหลังสถานการณ์ตะวันออกกลางตึงเครียดมากขึ้น ขณะที่แม้คาดปี 2566 กำไรปกติจะอ่อนตัวลง45%YoY จาก GRM สูงผิดปกติปี 2565 แต่จะกลับมาโต 52%YoY ในปี 2567 ทั้งยังจ่ายปันผลดีและสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield ราวปีละ 8%

 

HMPRO คาด 4Q66 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี หนุนปี 2566 กำไรโต 3.9%YoY และโตต่อ 11.8%YoY ในปี 2567 ซึ่งคาดจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากโครงการEasy e-Receipt เพราะยอดใช้จ่ายต่อบิลที่สูงกว่า บ. อื่นๆ ในกลุ่มฯ โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนประโยชน์จากโครงการดังกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com