แนวโน้มตลาดวันนี้ (4 มิ.ย.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET แม้ได้ sentiment บวก จากการปรับขึ้นของตลาดหุ้นภูมิภาคเมื่อวานนี้ ขณะที่ SET ปิดทำการ อย่างไรก็ตาม คาดกรอบบนยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1350-1360 จุด จากกลุ่มพลังงานถ่วงดัชนี ตามราคาน้ำมันที่ปรับลง แม้ประชุม OPEC+ มีมติขยายเวลาลดกำลังการผลิตก็ตาม ด้านแนวรับอยู่ที่ 1340 จุด หากต่ำกว่าเป็นสัญญาณลบต่อ
ประเด็นสำคัญ
• ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐ พ.ค. โดย ISM ลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนและต่ำกว่าตลาดคาด ผลจากคำสั่งซื้อใหม่ลดลง ขณะที่ภาคธุรกิจมีความไม่มั่นใจในการลงทุนเพราะต้นทุนในการกู้ยืมค่อนข้างสูง ขณะที่ปลายสัปดาห์แล้ว ดัชนี Headline PCE เม.ย. และดัชนี Core PCE เม.ย. ปรับขึ้นสอดคล้องตลาดคาด ทำให้ นลท. คาด Fed มีโอกาสจะเริ่มปรับลด ดบ. ใน ก.ย.
• OPEC+ เห็นพ้องขยายเวลาลดกำลังผลิตน้ำมันดิบ 3.66 ล้านบาร์เรล/วันไปเป็นสิ้นปี 2568 และลดกำลังผลิตน้ำมันดิบ 2.2 ล้านบาร์เรล/วันถึงสิ้น 3Q67 เพื่อพยุงราคาน้ำมัน ท่ามกลางอุปสงค์ที่ซบเซาและ ดบ. ที่สูง
• ตลาดหุ้นนิวยอร์กประกาศเหตุขัดข้องทางเทคนิคเมื่อคืนนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นผันผวนหนัก อาทิ ราคาหุ้น A-class ของ Berkshire Hathaway และหุ้น Barrick Gold ร่วงลงหนักเกือบ 100% ในระหว่างวัน ทำให้ต้องมีการระงับการซื้อขายหุ้นจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ
• ก. คลัง เตรียมเสนอ ครม. จัดเก็บรายได้เพิ่มทั้งภาษีบริษัทข้ามชาติปีละ 2 หมื่นลบ. และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สำหรับสินค้านำเข้าตั้งแต่บาทแรก ส่วนจัดเก็บรายได้ 7 เดือนปีงบ 67 ต่ำกว่าเป้าที่ 3.9 หมื่นลบ.
• ThaiBMA ระบุตลาดหุ้นกู้เอกชน 2H67 คาดกลับมาคึกคักอีกครั้ง หาก Fed ลด ดบ. เร็วขึ้นกว่าตลาดคาดไว้ จะส่งผลบวกต้นทุนออกหุ้นกู้ลดลง ตั้งเป้ายอดออกหุ้นกู้ปีนี้ราว 0.9-1 ล้านลบ.
• ATTA ระบุ 5M67 มี นทท. จีนมาไทยเกือบ 3 ล้านคน มากเป็นอันดับ 1 ของตลาดต่างชาติ โดยไทยเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมจากชาวจีนมากเป็นอันดับ 1 ในการออกเที่ยว ตปท. ประเมินปีนี้จะมีนทท. จีนมาไทยถึง 7 ล้านคน
ตลาดหุ้นไทยยังเปราะบาง จากความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีคาดหวังผลประกอบการ 2Q67 ของ บจ. ไทยที่จะเติบโตดีขึ้นและปัจจัยต่างประเทศสัปดาห์นี้จะเป็นบวกช่วยพยุงดัชนีได้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้นที่คาด 2Q67 กำไรจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวชนะตลาดได้ YTD เลือก ICT (ADVANC) TOURISM (MINT) และ FOOD (TU BTG OSP)
2) หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการผลิต (โดยเฉพาะจีน) และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว เลือก KCE SCGP PTTGC
3) สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และสนใจหุ้น Small Cap. ซึ่ง 2Q67 คาดกำไรจะเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ และ Valuation ไม่แพง อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก AMATA AU KLINIQ TPAC TNP
4) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Bent ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบล่างของช่วง 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงสั้นมอง SET ยังเปราะบางและแกว่งตัวในกรอบ โดยในประเทศยังขาดปัจจัยหนุนใหม่และมีปัจจัยการเมืองกดดันบรรยากาศลงทุน ทำให้ SET ยัง Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ยังคาดหวังแรงหนุนดัชนีจากผลประกอบการของ บจ. ไทยที่จะเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ 2Q67 และปัจจัยต่างประเทศสัปดาห์นี้จะเป็นบวก อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิต พ.ค. ของจีนและสหรัฐคาดจะปรับตัวดีขึ้น หลังมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง และการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ในวันที่ 6 มิ.ย. จะเริ่มมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
Top Picks
AOT มองกำไรกำลังกลับคืนสู่แนวโน้มขาขึ้น โดย 3QFY67 (เม.ย.-มิ.ย. 67) คาดกำไรปกติเติบโต YoY ต่อเนื่อง และปี FY2567 (ต.ค. 66 – ก.ย. 67) คาดกำไรปกติจะเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดสู่ 2.3 หมื่นลบ. โดยอิงกับจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ 75.6 ล้านคน (90% ของระดับก่อนเกิดโควิด-19)
GULF มองได้ Sentiment บวกจาก Bond Yield สหรัฐที่ปรับลง คาดกำไรปกติ 2Q67 จะทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์และเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดปี หนุนจากกำลังการผลิตเพิ่มเติมของโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ PE ปี 2567 เพียง 24.3 เท่า หรือ -1.5 SD ของ PE เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี