แนวโน้มตลาดวันนี้ (19 ก.พ.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET แกว่งในกรอบระหว่าง 1250-1272 จุด โดยตลาดที่ยังขาดปัจจัยหนุน ท่ามกลางความกังวลสงครามการค้า ทำให้กรอบบนถูกจำกัด ขณะที่ในภาพรวมยังมีความเสี่ยงด้าน Downside โดยติดตามกรอบล่างที่แนวรับ 1245-1250 จุด หากต่ำกว่าเป็นลบต่อ ประเด็นสำคัญ ติดตามรายงานประชุมเฟด
ประเด็นสำคัญ
• Reuters รายงานว่าโดรนยูเครนที่มีเป้าหมายโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลังงานรัสเซียในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และวานนี้มีการโจมตีสถานีสูบน้ำมันของ CPC ซึ่งส่งผลกระทบต่อน้ำมันที่ลำเลียงจากคาซักสถานสู่บริษัทระดับโลก เช่น Chevron และ Exxon Mobil เป็นครั้งแรก
• กระทรวงต่างประเทศจีนตอบรับความพยายามการสร้างสันติภาพในยูเครนซึ่งรวมถึงการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย และหวังว่าทุกฝ่ายจะได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจาสันติภาพ
• ธปท. เผยสินเชื่อระบบธพ. ปี 2567 ติดลบ 0.4%YoY หดตัวสูงสุดในรอบ 15 ปี กดดันจากสินเชื่อรายย่อยที่หดตัวทุกประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่และภาครัฐยังขยายตัวได้
• ธปท. กำลังพิจารณาการผ่อนคลาย LTV ว่าจะช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะต่อกลุ่มเปราะบางได้หรือไม่ และต้องพิจารณาร่วมกับสัญญาณเก็งกำไรในภาคอสังหาฯ ควบคู่กับอุปสงค์-อุปทานคงเหลือ
• รมช.คลัง เผยกระทรวงการคลังยังมั่นใจว่า GDP ไทยในปี 2568 จะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 3% แม้ว่า สศช. คาดเติบโตได้เพียง 2.8% โดยนอกจากโครงการแจกเงินหมื่นเฟส 3 ที่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจใน 2Q68 คลังยังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
• ส.อ.ท. เผยภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มจะฟื้นตัวสอดคล้องกับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคบริการ ใน 5 ปีข้างหน้า (ปี 2568-73) คาดอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 3.5-4.5% นำโดยกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มมึนเมาในอีก 5 ปีข้างหน้าคาดจะเติบโตในระดับต่ำเพียง 1-2% ต่อปี
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด มีแนวต้านที่บริเวณ 1320 จุด ปัจจัยต่างประเทศมีประเด็นติดตามอย่างรายงานการะประชุมของ FOMC ซึ่งคาดจะเป็นลบต่อบรรยากาศลงทุน หลังประธานเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ ที่คาดจะออกมาไม่ดีนัก หลังจาก ปธน. สหรัฐฯ ยังมีท่าทีดำเนินสงครามการค้าต่อทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในหลายส่วน ส่วนปัจจัยในประเทศมีประเด็นติดตามอย่างการประกาศงบ 4Q67 ของบจ. Real Sector ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้าย ส่วน GDP 4Q67 ของไทยที่คาดฟื้นตัวต่อเนื่องและเติบโตได้จากฐานต่ำปีก่อน และ 1Q68 คาดจะเติบโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ยังเร็วเกินไปที่จะมีการปรับ GDP ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily top picks
BBL: ยังเลือกเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจากมีงบดุลแข็งแกร่งที่สุด สินเชื่อเติบโตมากที่สุด ความเสี่ยงเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด และ Valuation ถูกที่สุดในกลุ่ม รวมถึงบริษัทกำลังพิจารณาบริหารจัดการเงินทุนทั้งในรูปของการเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืนซึ่งมองจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น
CPAXT: 4Q67 ประกาศกำไรสุทธิ 4 พันลบ. (+21%YoY, +103%QoQ) สูงกว่าเราและตลาดคาดไว้ หนุนปี 2567 กำไรเติบโต 22.3%YoY พร้อมจ่ายปันผลจากกำไร 2H67 ที่ 0.53 บาท/หุ้น (XD 8 เม.ย.) ส่วนปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตดีสุดในกลุ่มอย่างน้อย 19%YoY (เทียบกับกลุ่มเติบโตเฉลี่ย 15%YoY) หลังควบรวมกิจการคาด Synergy จะเริ่มชัดเจนในปี 2568-70