"พีทีจี เอ็นเนอยี" โชว์ยอดขายไตรมาส 1/2567 จำนวน 54,962 ล้านบาท กำไรแตะ 264 ล้านบาท ส่วนปริมาณการขายน้ำมันผ่านทุกช่องทางยังคงสร้างสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1,720 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้นถึง 16.7% YoY รวมถึงครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการเพิ่มขึ้นเป็น 21.8%
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2567 (สิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2567) ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 264 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานอยู่ที่ 0.16บาทต่อหุ้น ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 54,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% YoY อยู่ที่ 50,936 ล้านบาท
โดยมีปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil มีรายได้จำนวน 50,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% YoY เป็นผลมาจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางยังคงสร้างสถิติยอดขายสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องเป็น 1,720 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้นถึง 16.7% YoY เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same-Store-Sales) ทั้งจากลูกค้าใหม่ และกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus รวมถึงปัจจัยหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลและวันหยุดต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งการตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้นเป็น 21.8% จากไตรมาส 1/2566ที่ 19.2% โดยบริษัทฯ มีสถานีบริการน้ำมัน PT ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 จำนวน 2,199 สถานี
ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil มีรายได้ 4,050 ล้านบาท เติบโต 28.7% YoY โดยมาจากธุรกิจก๊าซ LPG ที่มีรายได้ 2,288 ล้านบาท เติบโต 17.9% YoY เนื่องจากมีปริมาณการจัดจำหน่ายก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 14.3% YoY เป็น 172 ล้านลิตร ประกอบกับมีราคาขายเฉลี่ยที่ 13.26 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 3.1% YoY
ทั้งนี้ในส่วนของการเพิ่มขึ้นของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG โดยรวมยังคงมาจากกลุ่ม Auto LPG ที่เติบโต 18.2% YoY เป็น 121 ล้านลิตร จากการดำเนินโครงการ “Taxi Transform” และ “Auto Transform” ด้วยเป้าหมายในการสร้างความ “อยู่ดี มีสุข” ให้กับลูกค้าในทุกช่วงของชีวิต ประกอบกับมีการเข้ามาใช้บริการของกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus โดยบริษัทฯ ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ผ่านสถานีบริการเป็นอันดับที่ 1 ในไตรมาส 1/2567 ที่ 28.8% และมีจำนวนสถานีบริการ Auto LPG ที่จำนวน 243 สถานี ขณะที่กลุ่มครัวเรือนและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 6.0% YoY เป็น 51 ล้านลิตร
สำหรับธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยมีรายได้เท่ากับ 494 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.5% YoY เป็นผลมาจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มีจำนวนสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยทั้งสิ้น 947 สาขา เพิ่มขึ้น 66.1% YoY ประกอบกับมีการกลับมาซื้อซ้ำ ของลูกค้ารายเดิมและจากกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ในขณะที่ธุรกิจ Autobacs มีจำนวนสาขาอยู่ที่ 83 สาขา เติบโต 69.4% YoY และมีรายได้เท่ากับ 236 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.2% YoY หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้ว
ในไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวมทั้งสิ้น 2,211 สาขา เพิ่มขึ้น 585 สาขา หรือเติบโต 36.0% YoY ขณะที่กำไรขั้นต้น ในธุรกิจ Non-Oil เท่ากับ 868 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36.4% YoY และมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil อยู่ที่ 24.5% จากกำไรขั้นต้นทั้งหมด
นายพิทักษ์ กล่าวต่อว่าในปี 2567 บริษัทฯ ยังคงวางเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเติบโต 10-12% YoY และขยายจำนวนสถานีบริการไว้ที่ 2,251 สถานีบริการ เพิ่มขึ้น 50 สถานีบริการจากปีก่อนหน้า รวมถึงยกระดับการให้บริการ ด้วย PT Service Master ที่คอยให้บริการและแนะนำลูกค้า และมีการใช้ข้อมูลจากฐานสมาชิกกลุ่มผู้ถือบัตร PT Max Card, PT Max Card Plus, แอปพลิเคชัน Max Me และแพลตฟอร์ม Max Enterprise Connect (MEC) มาวิเคราะห์ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และโปรโมชันที่ตรงตามความต้องการลูกค้ามากที่สุด มุ่งสู่เป้าหมายในการขยายส่วนแบ่งการตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกสถานีบริการไม่ต่ำกว่า 25% ในปี 2570
สำหรับธุรกิจ Non-Oil ยังคงวางเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 40-50% หลักๆ มาจากธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่มองว่าปีนี้เป็นปีแห่ง “Network Expansion” ซึ่งจะเน้นการขยายผ่านกลยุทธ์ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าขยาย 400 สาขา 2) ขยายการรับรู้ไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ผ่านการนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย และ 3) เน้นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ผลิตต้นน้ำเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน มุ่งสู่จำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยกว่า 5,000 สาขาครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศในปี 2570
ส่วนธุรกิจก๊าซ LPG ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายปี 2567 ไว้ที่ 30-40% จาก 1) กลุ่ม Auto LPG โดยเน้นงานบริการเพื่อส่งเสริมยอดขาย และครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ด้วยโครงการ “Taxi Transform” และ “Auto Transform” รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทำงานด้านการตลาดผ่านระบบสมาชิกบัตรกลุ่ม PT Max Card และ PT Max Card Plus เพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้า และ 2) กลุ่มก๊าซครัวเรือนและอุตสาหกรรมโดยรักษาฐานลูกค้าหลักเดิม และหาฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่นการขาย และการรับรู้แบรนด์ PT แก่ลูกค้า และ 3) เน้นการขยายจำนวนสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 788 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 573 สาขาในปี 2566 โดยเป็นการขยาย Gas Shop เป็นหลัก
ธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้ธุรกิจ Non-Oil บริษัทฯ ยังคงวางแผนขยายสาขาและ Touchpoints อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าจำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ เป็นจำนวน 961 Touchpoints เพิ่มขึ้น 329 Touchpoints โดยการขยายสาขาจำนวนหลักๆ มาจากสถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT เพื่อรองรับแนวโน้มการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวบัตรแมกซ์การ์ด พลัส อีวี (Max Card Plus EV) เพื่อมอบสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ใช้ EV โดยเฉพาะ และเพื่อเชื่อมต่อ Max World Ecosystem ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากการขยายจุดชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว บริษัทฯ ยังวางเป้าขยาย Touchpoints ในธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ อาทิ ธุรกิจศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs และสาขาร้านสะดวกซื้อ Max Mart เป็นต้น
“ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 ที่ออกมาถือว่าเติบโตในทุกมิติ ธุรกิจเดิมก็เติบใหญ่ ธุรกิจใหม่ก็เติบโต โดยเฉพาะยอดขายน้ำมันที่ทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมธุรกิจของกลุ่ม PTG ในช่วงที่เหลือของปีนี้เชื่อว่ายังคงเติบโตอย่างแข็งแรงและต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าในการสร้างเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจ PT Max World ให้มีความมั่นคงและยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในการที่จะเชื่อมให้ทุกคนได้เข้าถึงชีวิตที่ อยู่ดี มีสุข ในทุกช่วงของชีวิต” นายพิทักษ์ กล่าว