SUPER วางกลยุทธ์เดินเกมผนึกพันธมิตร ดึงเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าขยะ เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต มั่นใจปีนี้รายได้โต 10% แตะหมื่นล้านบาท วางเป้า 3 ปี มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 3,000 เมกะวัตต์
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ โดยในปีนี้และปีหน้าจะมุ่งเน้นการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน (Strategic Partner) หลังจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทรุกหนักในการขยายพอร์ตธุรกิจในโครงการไฟฟ้าเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ทั้งโครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ พลังงานลม และโรงไฟฟ้าขยะ จนปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 1,665 เมกกะวัตต์
ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 1,590 เมกกะวัตต์ เป็นโครงการในต่างประเทศ 836 เมกกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม 50 เมกกะวัตต์ อยู่ในต่างประเทศทั้งหมด และโรงไฟฟ้าขยะ 24 เมกกะวัตต์ อยู่ในประเทศไทย ขณะที่สัดส่วนรายได้ในประเทศไทย 63% และในเวียดนาม 37%
โดยเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาได้ดึง AC ENERGY VIETNAM INVESTMENTS PTE. LTD.บริษัทชั้นนำทางด้านธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศฟิลิปปินส์ เข้าเป็นพันธมิตร ร่วมถือหุ้นสัดส่วน 49% ในโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในเวียดนาม 9 โครงการ โดยบริษัทได้รับเงินราว 5,812 ล้านบาท
และยังมีแผนจะหาพันธมิตร เข้ามาร่วมลงทุนในพลังงานลม ซึ่งได้มีการเจรจากับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้าในประเทศ โดยผลการเจรจาเป็นไปด้วยดี และใกล้จะบรรลุข้อตกลง เหลือเพียงขั้นตอนการเสนอคณะกรรมการบริษัทอนุมัติ
รวมทั้งโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 โรง ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทพลังงานไฟฟ้าขยะยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ จากจีน เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยี และโนฮาวน์ต่างๆ
การดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมถือหุ้น ทำให้บริษัทได้รับเงินค่าหุ้นให้กับพันธมิตร ซึ่งบริษัทได้นำไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดลง จาก 2.99 เท่าในไตรมาส 1 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.5 ในไตรมาสที่ 2 และในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ มีแผนจะออกหุ้นกู้ เพื่อจะนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน
นายจอมทรัพย์ กล่าวว่า กลยุทธ์หาพันธมิตรกับบริษัทยักษ์ใหญ่ นอกจากจะสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับธุรกิจของบริษัทแล้ว ยังช่วยสร้างความแข็งแกร่งในด้านเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต ต่อไปเราเดินควบคู่ไปกับพันธมิตรในการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตได้เร็วขึ้น
สำหรับครึ่งปีหลัง มองว่าธุรกิจยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้อีกราว 50 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนาม “Soc Trang” กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์กับมหาวิทยาลัยมหิดล กำลังการผลิต 14 เมกะวัตต์ โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโตราว 10% หรือ 10,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 9,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทเดินหน้าขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้า จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าขยะ รวม 3,000 เมกะวัตต์ เพราะปัจจุบันมีโครงการไฟฟ้าราว 270 เมกกะวัตต์ที่ยังค้างอยู่ และอีกราว 1,000 เมกกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างการประมูล
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในครึ่ง 6 เดือนแรกปี 2566 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566) มีรายได้รวม 5,207.58 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 563.07 ล้านบาท